เจมาร์ท ผ่าอาณาจักรบิ๊กแบรนด์ที่ไม่ได้มีแต่ร้านขายโทรศัพท์มือถือ (วิเคราะห์)
อาณาจักร “เจมาร์ท” ไม่ได้ขายแต่มือถือ
แต่ยังมีธุรกิจในเครืออีกมากมาย
จากจุดเริ่มต้นของสามีภรรยาอย่าง ‘อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา’ และ ‘ยุวดี พงษ์อัชฌา’ ที่เปิดบริษัทเพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกยี่ห้อในระบบเงินผ่อน และขยายเข้าไปในตลาดขายส่ง
มีสินค้าหลักในตอนนั้นคือ โทรทัศน์ เครื่องเล่นวิดีโอ และเครื่องปรับอากาศ
ในปี 2535 ได้เริ่มธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์มือถือผ่านระบบเงินสด เงินผ่อน และขายส่ง
และพาตัวเองเข้าสู่ตลาดหุ้นใช้นามสกุลมหาชนในปี 2552
ปัจจุบัน บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) เป็นโฮลดิ้งคอมพานีที่ลงทุนในธุรกิจอื่น มีแกนหลักเป็นธุรกิจจำหน่ายมือถือแบบค้าปลีก และค้าส่ง
แล้วนอกจากธุรกิจขายมือถือในชื่อเจมาร์ทที่ทุกคนรู้จัก และเห็นกันอยู่ตามห้างและศูนย์การค้าแล้ว ยังมีอะไรอยู่ในมือบ้าง

หากให้แยกตามประเภทธุรกิจที่เจมาร์ทมีในมือแยกออกได้ 5 กลุ่มธุรกิจด้วยกัน
ธุรกิจศูนย์/ร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ
ในชื่อ เจมาร์ท ที่เห็นได้ตามห้างและศูนย์การค้าที่ขายสินค้าแบรนด์หลัก ๆ ทุกราย เช่น ซัมซุง, ไอโฟน, หัวเว่ย, ออปโป้ เป็นต้น มีสาขา ณ สิ้นปี 2562 รวม 192 สาขาทั่วประเทศ
และยังมี “IT Junction” ที่เป็นพื้นที่ศูนย์ไอทีครบวงจร เราจะเห็น IT Junction อยู่ตามบิ๊กซีสาขาต่าง ๆ โดยมีสาขาทั้งหมด 39 สาขา (อยู่ในบิ๊กซี 37 สาขา)
ธุรกิจสินเชื่อ/บริหารหนี้สิน/ประกันภัย
ที่อยู่ภายใต้บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT กลุ่มธุรกิจนี้เป็นกลุ่มที่เป็นฐานกำไรที่สำคัญให้กับเครือ
โดยมีทั้ง Jmoney ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อสำหรับคนมีรถ, Jaymart insurance broker ที่เป็นนายหน้า ตัวแทนขายประกันประเภทต่าง ๆ ทั้งประกันรถยนต์ ประกันอุบัติเหตุ ประกันโควิด-19 และให้บริการสินเชื่อด้วย
นอกจากจะเป็นนายหน้าขายประกันแล้วก็ยังมีบริษัทประกันเป็นของตัวเองในชื่อ “เจพี ประกันภัย”
และยังมีบริษัทบริหารหนี้ประเภทบ้านและคอนโดอย่าง บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจ จำกัด
ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนและพาณิชย์
“ซิงเกอร์” ที่เป็นธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่มีธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ที่ได้ชื่อว่า ‘ราชาเงินผ่อน’ กลุ่มเจมาร์ทเข้ามาถือหุ้นใหญ่ในช่วงมิถุนายน 2558 ด้วย
อ่าน : ราชาเงินผ่อน “ซิงเกอร์” ขาดทุน 2 ปีซ้อน หลัง “เจมาร์ท” เข้ามาถือหุ้นเพราะอะไร
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์/คอมมูนิตี้มอลล์
ที่ต่างจากธุรกิจการเงินข้างต้น โดยเจมาร์ทรุกธุรกิจอสังหาฯ ในแบบทั้งรูปแบบตลาดในปี 2555 ชื่อ ‘J Market’ คนแถวมหาวิทยาลัยเกษตรฯ น่าจะรู้จักดี เพราะมีสาขาแรกที่ตลาดอมรพันธ์
ปัจจุบันมีทั้งหมด 4 สาขา คือ J Market@อมรพนัธ์ เกษตร, J Market ราษฎรพัฒนา, J Market ไทรม้า, ตลาดนัดเดินเพลิน
ปี 2557 กลุ่มเจมาร์ทรุกตลาดค้าปลีกในกลุ่มคอมมูนิตี้มอลล์ในชื่อ “The Jas” ปัจจุบันมีทั้งหมด 3 สาขา
และล่าสุดปี 2561 กระโดดเข้ามาในกลุ่มอสังหาฯ เพื่อขายกับโครงการ “นีเวร่า คอนโดมิเนียม” คอนโดแบบ Low Rise ขนาด 8 ชั้น
ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
และสุดท้ายกับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในบริษัทย่อย ‘บีนส์แอนด์บราวน์’ ที่ดูแลธุรกิจร้าน Casa Lapin และ Rabb Coffee ที่ได้ทายาทรุ่นที่สองอย่าง ‘เอกชัย สุขุมวิทยา‘ ที่เป็นรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารเจมาร์ทมาปลุกปั้นธุรกิจนี้
กลยุทธ์ของเจมาร์ทคือการ Synergy ผสานจุดแข็งทางธุรกิจของบริษัทต่าง ๆ ในกลุ่มเข้าด้วยกัน เพราะจะเห็นได้ว่าธุรกิจในมือส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจที่รองรับซึ่งกันและกัน
ทั้งหมดทั้งมวลนี้คืออาณาจักรเจมาร์ทที่มีรายได้หมื่นล้าน ที่ในปีนี้ก่อนจะเจอกับสถานการณ์โควิด-19 ตั้งเป้ามีกำไรเพิ่มขึ้น 25% ส่วนจะทำได้หรือไม่ต้องรอดู
และรอดูการผลัดใบส่งไม้ต่อให้ทายาทรุ่นที่ 2 ในไม่ช้านี้

JMART รายได้เท่าไร
2559
รายได้รวม : 11,231.79 ล้านบาท
กำไร : 438.25 ล้านบาท
2560
รายได้รวม : 13,236.85 ล้านบาท
กำไร : 490.16 ล้านบาท
2561
รายได้รวม : 12,895.37 ล้านบาท
ขาดทุน : 277.06 ล้านบาท
2562
รายได้รวม : 11,926.92 ล้านบาท
กำไร : 533.85 ล้านบาท
ที่มา- บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน), ตลาดหลักทรัพย์
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
