สยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพ โจทย์ต่อไปคือทำให้คนกรุงเทพฯ มาช้อปปิ้งมากขึ้น (วิเคราะห์)
สยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพฯ จะเอาตัวรอดอย่างไรในวันที่เศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อผู้บริโภคยังกลับมาไม่เหมือนเดิม ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ที่เข้ามาโจมตีทุกทาง
ในวันนั้นน้องใหม่ในกลุ่มสยามพิวรรธน์สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัวท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว สถานการณ์โควิด-19 ก็ยังไม่ได้ดีขึ้น นับมาถึงวันนี้ ‘สยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพ’ ก็เปิดทำการได้กว่า 4 เดือนแล้ว
หัวเรืออย่าง ‘ไมเคิล ถัง’ กรรมการผู้จัดการบริษัท สยามพิวรรธน์ ไซม่อน จำกัด เปิดเผยในวันนี้ว่า ตั้งแต่เปิดให้บริการมาได้ราว 4 เดือน ทำรายได้ได้มากกว่าที่ตั้งไว้ 50% และผู้คนมาใช้บริการมากกว่าที่คิด
แม้จะพีคมากในช่วงเดือนแรกที่มีคนมาใช้บริการถึง 16,000 คนต่อวัน จากนั้นในเดือนถัดมาค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ช่วงเดือน ก.ย. เหลืออยู่ที่ราว 4,000-5,000 คนต่อวัน ในวันธรรมดา (80,000 คน ในวันหยุด)
ซึ่งไมเคิลระบุว่าจำนวนลูกค้าที่ลดลงเป็นปกติของการเปิดเอาท์เล็ตในช่วงแรก ๆ
ขณะที่ในเดือนนี้เริ่มเห็นสัญญาณการกลับมามากขึ้น
4 เดือน ‘สยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพ’ มีคนมาใช้บริการต่อวันเท่าไร
มิ.ย. 16,000 คน
ก.ค. 8,000 คน
ส.ค., ก.ย. 4,000-5,000 คน
จากที่เคยตั้งเป้ายอดใช้จ่ายต่อบิลไว้ที่ประมาณ 1,000 บาท แต่ยอดเฉลี่ยที่ผู้คนมาใช้บริการตอนนี้เฉลี่ยที่ 4,000-5,000 บาท
กำลังซื้อจากลูกค้าคนไทยที่มาใช้บริการ 10% จากทั้งหมดคือกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่มาซื้อไปขายต่อ ปล่อยต่อ กลุ่มเหล่านี้ใช้จ่ายต่อบิลหลักแสนบาท สร้างรายได้ให้กับสยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ตถึง 60%
ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมรายได้ของสยามพรี่เมี่ยมเอาท์เล็ตถึงโตกว่าที่ตั้งเป้าไว้
เพราะนอกจากจะมีรายได้จากค่าเช่าพื้นที่แล้ว ยังมีรายได้จากส่วนแบ่งของยอดขายแต่ละร้านอีกด้วย

โดยในสิ้นปีนี้จะเปิดให้บริการได้ราว 86% อีก 14% เปิดภายในปีหน้า และ 10% ที่เหลือเปิดในปีถัดไป
ขณะที่ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการยังเป็นคนไทยสัดส่วน 90% ชาวต่างชาติ 10% และเมื่อลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทย ลูกค้าชาวต่างชาติก็ยังไม่กลับมา
นี่จึงเป็นอีกข้อท้าทายที่ไมเคิล ระบุว่า นับจากนี้จะต้องทำให้คนไทยรู้จักเรา และมาใช้บริการเรามากขึ้น
ฉะนั้นจะเห็นว่าตั้งแต่วันแรกที่สยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ตเปิดให้บริการก็ยังเน้นการสื่อสารผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียที่จะทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนไทยมากขึ้น
“มาตรการ Spacial Tourist Visa ที่ออกมา มองว่ายังไม่ใช่ปัจจัยหลัก และมีความหวังไม่เยอะมากนัก”
ไมเคิลระบุว่า จากตอนแรกที่ทำการตลาดสื่อสารหว่านออกไปให้คนทั่วประเทศรู้จัก วันนี้เราได้เรียนรู้พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคแล้ว
แต่สิ่งที่ต้องเรียนรู้ต่อไปและจะเริ่มกลับมาโฟกัสกลุ่มคือ ลูกค้าใน กทม. ที่จะทำอย่างไรให้เราจะสามารถตีวงล้อมทำให้คนกรุงเทพฯ 12 ล้านคนรู้จัก โดยน่าจะใช้เวลา 2-3 ปี
ก่อนที่จะขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังพื้นที่ใกล้เคียงเฟส 2 คือ คนในกลุ่มจังหวัด EEC ฉะเชิงเทรา ชลบุรี เฟส 3 เชียงใหม่
เพราะจากการลองทำเซอร์เวย์พบว่ามีคนกรุงเทพฯ รู้จักสยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ตราว 40-45% เท่านั้น และในจำนวนนี้ 25% มาใช้บริการที่เอาท์เล็ต
เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะกระตุ้นให้ผู้บริโภคเป็นคีย์หลักเลยคือ ‘โปรโมชั่นของแต่ละร้าน’ เดิมทีแต่ละร้านก็จะสื่อสารออกไปเอง
แต่ตอนนี้ สยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพ ก็จะเป็นเหมือนกระบอกเสียงทำให้คนรู้ถึงโปรโมชั่นต่าง ๆ ให้เห็นราคาชัด ๆ ที่จะเป็นสิ่งดึงดูดให้คนมาใช้บริการมากขึ้น
ขณะที่ ‘โปรโมชั่น’ คือโอกาสที่จะทำให้คนมาใช้บริการ ด้านอุปสรรคของการมาใช้บริการ ไมเคิลบอกว่ามีด้วยกัน 2 ข้อ
คือ ฝน ฟ้า อากาศ และที่ได้ยินมามากที่สุดคือ ไกล
“คอนเซ็ปต์ของเอาต์เล็ตคือต้องอยู่นอกเมือง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเนเจอร์ของผู้บริโภคที่ยังไม่เข้าใจ”
ขณะที่ในไตรมาสสุดท้ายนี้จะส่งแคมเปญ Illumination Year End Sale เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2563 จนถึงกลางเดือนมกราคม 2564
จะช่วยกระตุ้นจำนวนลูกค้าในช่วงปลายปี 2563 เพิ่มขึ้นถึง 20% จากเป้าที่ตั้งไว้ ยอดจับจ่ายจะเพิ่มขึ้น 10-15%
ต้องรอดูว่าสยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ตของกลุ่มสยามพิวรรธน์น้องใหม่ที่อยู่ในเครือจะทำได้อย่างที่หวัง
และเอาตัวรอดจากวิกฤตครั้งนี้ เหมือน ‘สยาม’ รุ่นพี่ที่ผ่านมาแล้วทุกครั้งได้หรือไม่ต้องติดตาม
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
