LINE BK อุปสรรคและความท้าทายบนเส้นทาง Social Banking (วิเคราะห์)
2.8 ล้านราย คือยอดผู้สมัครLINE BKผู้วางตัวเองเป็น Social Banking ในช่วงเวลา 254 วัน นับตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2563 วันแรกของการเปิดตัว
ยอดผู้สมัคร 2.8 ล้านราย ถือเป็นยอดที่สูงกว่าที่ธนา โพธิกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กสิกร ไลน์ จำกัด เคยคาดการณ์ไว้ช่วงเปิดตัว ว่า 1 ขวบปีแรกLINE BKจะมีลูกค้าทั้งสิ้น 1 ล้านราย เพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้งาน
และยังมีลูกค้าที่นำบัญชีของธนาคารกสิกรไทยไทยมาผูกกับLINE BK 3.5 ล้านบัญชี
ถ้าดูเพียงยอดผู้สมัครใช้บริการ ถือว่าLINE BKสอบผ่านเกินเป้าหมายที่วางไว้มากกว่าเท่าตัว
แต่ถ้ามองในมุมที่ลึกขึ้นLINE BKถือว่ามีอุปสรรคและความท้าทายที่ยังต้องก้าวผ่านไปอีกมาก
อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดคือบริการสินเชื่อ ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้หลักของธุรกิจLINE BK
เราขอเล่าสักนิดว่า
ธุรกิจธนาคารและน็อนแบงก์รายได้หลักที่สำคัญจะมาจากดอกเบี้ยสินเชื่อ ยิ่งถ้ามีลูกค้าคุณภาพไม่เบี้ยวหนี้ในพอร์ตสินเชื่อมาก โอกาสผลกำไรก็จะมีมากขึ้นตามมา
โดยเงินที่ปล่อยให้บริการสินเชื่อส่วนใหญ่จะเป็นเงินที่ได้มาจากบัญชีเงินฝากของลูกค้านั่นเอง
บิสซิเนสโมเดลของLINE BKจะต้องเป็นอย่างนี้ในอนาคต
ส่วนปัจจุบันLINE BKได้รับเงินสนับสนุนจากธนาคารกสิกรไทย
ใน Ecosystem ของLINE BKในวันนี้ จึงประกอบด้วย 2 บริการหลัก ได้แก่
บริการเงินฝากและบริการสินเชื่อ
ก่อนที่จะต่อยอดไปบริการนายหน้าขายประกันและการลงทุน ตามแพลนที่วางไว้ในอนาคตอีก 1-2 ปี

ขอกลับมาในอุปสรรคธุรกิจสินเชื่อLINE BKต่อ
เป้าหมายของLINE BKตั้งแต่วันแรกของการเปิดตัวคือ การเป็น Top 5 ในธุรกิจสินเชื่อฝั่งน็อนแบงก์
การที่LINE BKจะก้าวไปถึงเป้าหมายได้ จำเป็นต้องหาฐานลูกค้าเข้ามาเติมพอร์ตสินเชื่อ ไปพร้อม ๆ กับการบริหารความเสี่ยงหนี้ NPL หรือหนี้ที่ลูกค้าขาดส่งใน 90 วัน
การหาลูกค้าสินเชื่อของLINE BKจึงโฟกัสตลาดส่วนหนึ่งไปที่ลูกค้าที่ไม่เคยใช้บริการสินเชื่อมาก่อน
ลูกค้ากลุ่มนี้ส่วนหนึ่งเป็นลูกค้าของสินเชื่อนอกระบบที่ไม่สามารถเข้าถึงการขอสินเชื่อจากธนาคารได้ เพราะไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ในวันเปิดตัวLINE BKเมื่อปีที่ผ่านมา ธนาโชว์ข้อมูลให้เราเห็นว่า การเข้าถึงสินเชื่อเงินกู้ของคนไทยค่อนข้างอยู่ในวงที่จำกัด
เพราะมีเพียง 33% เท่านั้นที่มีประวัติทางการเงินที่สามารถนำมาประเมินการขอสินเชื่อจากธนาคารได้
แต่มีมากถึง 60% ของไทยที่มีรายได้ไม่ประจำ และ 10% เป็นหนี้นอกระบบ
จากช่องว่างในตลาดนี้ ในปัจจุบันLINE BKจึงมีลูกค้ายื่นเรื่องขอสินเชื่อมากถึง 4 ล้านใบสมัคร จากลูกค้าที่เข้ามาสมัคร 2 ล้านราย
เป็นเช่นนี้เพราะลูกค้ากลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีโอกาสในการรับอนุมัติสินเชื่อยาก มีความคิดว่าการขอสินเชื่อไปเรื่อย ๆ จะมีโอกาสในการได้รับสินเชื่อสักวันหนึ่ง
แต่ตามหลักความจริงการอนุมัติสินเชื่อจะมาจากปัจจัยหลาย ๆ ประการ โดยเฉพาะความสามารถในการใช้หนี้ เพื่อไม่ก่อให้เกิด NPL สร้างหนี้สูญให้กับธุรกิจ
ใน 254 วันที่ผ่านมาของLINE BKจึงอนุมัติสินเชื่อเพียง 350,000 บัญชี ซึ่งเป็นยอดอนุมัติในสัดส่วนที่ต่ำเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ขอสินเชื่อ
มียอดรวมปล่อยสินเชื่อ (disbursed) 14,000 ล้านบาท มีสินเชื่อคงค้าง (outstanding) 9,000 ล้านบาท และ NPL 2%
บริการสินเชื่อของLINE BKในปัจจุบันประกอบด้วย 2 สินเชื่อ ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคล ดอกเบี้ยเฉลี่ย 20-25% ต่อปี วงเงินสินเชื่อเฉลี่ย 35,000 บาท
สินเชื่อ Nano Finance ซึ่งเป็นสินเชื่อใหม่ ที่ขยายไปในกลุ่มรายได้ไม่สูงมากนัก คิดดอกเบี้ยเฉลี่ยต่อปี 33% ให้วงเงินสินเชื่อเฉลี่ย 11,000 บาท
มีสัดส่วนของลูกหนี้ที่มีรายได้ประจำ 59%
และกลุ่มที่ไม่มีรายได้ประจำ 41%
แม้สัดส่วนลูกหนี้ที่มีรายได้ประจำของLINE BKจะมีสัดส่วนที่ต่ำกว่าธนาคารพาณิชย์ทั่วไปที่มีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มนี้ 95-97% แต่ธนามองว่าเป็นสัดส่วนสอดคล้องกับเป้าหมายบริษัทที่อยากให้LINE BKเป็นบริการทางการเงินที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดให้กับผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำและไม่มีสลิปเงินเดือน

ทั้งหมดนี้เหมือนจะดี สิ่งนี้คือหนึ่งในความท้าทายของธุรกิจสินเชื่อ LINE BK ที่ทำให้ธนาวางทิศทางการหาลูกค้าใหม่อย่างใจแคบกว่าเดิมด้วยเช่นกัน
เพราะอุปสรรคของธุรกิจในวันนี้คือ
1. การปล่อยสินเชื่อในธุรกิจ Nano Finance แม้จะมีดอกเบี้ยที่สูง และทำให้ LINE BK ขยายฐานลูกค้าไปในกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่ำกว่าเดิมได้
แต่มีความเสี่ยงสูงจากหนี้ NPL เพราะลูกค้ากลุ่มนี้ส่วนใหญ่ไม่มีรายได้ประจำ และอาจจะไม่มีสภาพคล่องในการชำระหนี้เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้รายได้ลดลง หรือขาดรายได้ โดยในปัจจุบัน LINE BK ปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ากลุ่มนี้รวมกัน 3,000 ล้านบาท
ความท้าทายทั้งสองประการทำให้ LINE BK ต้องอนุมัติสินเชื่อแบบคนใจแคบมากขึ้น คือหาลูกค้าเข้ามาในระบบมากที่สุด และตั้งกำแพงสูงเพื่อคัดกรองเพียงลูกค้าที่มีคุณภาพมากที่สุดเพียงกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น
นอกจากนี้ ความท้าทายประการที่ 2 คือการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนตกงานเพิ่มขึ้น และมีคนที่มีรายได้ประจำบางกลุ่มที่เคยขอสินเชื่อไปแล้ว เช่น คนที่ทำงานโรงแรมต้องตกงาน แต่ระบบยังไม่มีการอัปเดตข้อมูล ซึ่งคือเป็นอุปสรรคในการชำระหนี้ตามที่ LINE BK เรียกเก็บได้
3. อัตรา NPL 2% ของ LINE BK ยังไม่สามารถสื่อถึงความเป็นจริงได้ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่ถึงปี และมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่เพิ่งเข้าสู่ระบบสินเชื่อ ทำให้ยังไม่สามารถวิเคราะห์ NPL ของลูกค้าทั้งระบบได้ เนื่องจากการวิเคราะห์ NPL จะวิเคราะห์สัดส่วนจากลูกค้าที่ผิดนัดชำระหนี้ 3 เดือนขึ้นไป
ซึ่ง NPL ของ LINE BK ยังต้องพึ่งระวังในการเลือกลูกค้าเพื่อปล่อยสินเชื่ออีกมาก และธนาตั้งเป้าว่า NPL ของ LINE BK จะต้องไม่เกิน 5% เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างคล่องตัว
จบที่ธุรกิจสินเชื่อ ขอไปต่อที่ธุรกิจเงินฝากของ LINE BK ต่อ
กลยุทธ์ในธุรกิจเงินฝากของLINE BKคือทำอย่างไรที่จะให้ผู้ใช้บริการสามารถทำธุรกรรมเบ็ดเสร็จผ่านแอปไลน์เพียงแอปเดียว เพื่อรู้สึกใช้ง่ายและสะดวกกว่าโมบายแบงกิ้งของธนาคารพาณิชย์ ที่ผู้บริโภคมองว่าสะดวกอยู่แล้ว และยังไม่มีค่าธรรมเนียมในการใช้บริการ ค่าธรรมเนียมในโอนเงินระหว่างบัญชีและอื่น ๆ
แต่ปัจจุบันธนายอมรับว่า การให้บริการของLINE BKยังง่ายและสะดวกกว่าโมบายแบงกิ้งไม่มากนัก
และ Marketeer มองว่ายังมีความท้าทายที่จะต้องก้าวข้ามไป ซึ่งประกอบด้วย
1.แม้LINE BKจะมีบริการโอนเงินผ่านการแชตได้ทันที ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่สร้างความสะดวกให้กับผู้ใช้
แต่ในปัจจุบันยังมีผู้ใช้บริการไม่มากนัก เนื่องจากผู้ใช้บริการไม่รู้ว่าทำได้ ผ่านไอคอน + ที่อยู่ในหน้าแชต
การที่ผู้ใช้บริการไม่รู้เรามองว่าส่วนหนึ่งเพราะ
– การ Educate การใช้บริการฟีเจอร์นี้ยังไม่มากพอ เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการทดลองใช้และเห็นความสะดวก
– การที่แอปไลน์มี Ecosystem เบ็ดเสร็จอยู่ในแอปจำนวนมาก ทำให้ฟีเจอร์ต่าง ๆ ในการให้บริการจึงมีมากขึ้นตามมา ผู้บริโภคบางคนจึงมองว่า User Interface มีความซับซ้อน และเลือกที่จะใช้บริการโอนเงินแบบเดิม ๆ ที่มีความเคยชินกว่าแทน
2. ในส่วนของบริการบัตรเดบิต เป็นบัตรเดบิตดิจิทัลที่ไม่มีการออกบัตรเป็นใบ ๆ ให้กับลูกค้าพกเพื่อใช้จ่าย และในปัจจุบันสามารถใช้กับร้านค้า ผู้ให้บริการที่เป็นออนไลน์เท่านั้น ทำให้ลูกค้าที่ใช้บัตรเดบิตLINE BKไม่สามารถนำบัตรเดบิตไปใช้ชำระเงินกับจุดชำระเงินที่เป็นออฟไลน์ได้
สิ่งนี้เองทำให้ยอดลูกค้าบัญชีเงินฝากของLINE BKยังมีการทำธุรกรรมรวมกันเพียง 50,000 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นมูลค่าธุรกรรมที่ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับมูลค่าธุรกรรมที่โอนผ่านโมบายแบงกิ้งทั้งระบบ
ซึ่งอ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทยเดือนเมษายน 2564 มียอดธุรกรรมผ่านโมบายแบงกิ้งรวม 4.4 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ LINE BK คือก้าวแรกของการเริ่มต้น
ในปีที่ผ่านมาLINE BKมีรายได้รวม 49.15 ล้านบาท ขาดทุน 723.37 ล้านบาท แต่ธนาเชื่อว่าภายใน 3-4 ปี LINE BKจะเริ่มเห็นกำไรจากการทำธุรกิจ
แต่ที่แน่ ๆ วันนี้LINE BKจะต้องผ่านความท้าทายบนเส้นทางโควิด-19 นี้ให้ได้ก่อน
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
