ส่อง 5 ภาคธุรกิจในไทย ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gases : GHGs) มากสุด หลังแสนสิริ ตั้งเป้าปล่อย GHGs เป็นศูนย์ (Net-zero) ในปี 2050

เรียกว่ากลายมาเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของภาคธุรกิจทั่วโลก สำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ (Greenhouse gases : GHGs) เป็นศูนย์ (Net-zero) หลังปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกขณะ

โดยอ้างอิงข้อมูลจาก Climate Watch Data ที่รายงานเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2565 พบว่าภาพรวมภาคธุรกิจในประเทศไทย ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด คือ 1. ภาคพลังงาน 61.11%, 2. ภาคอุตสาหกรรม 16.67%, 3. ภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน 15.96%, 4. ภาคการเกษตร 3.31% และ 5. การจัดการของเสีย 2.95%

 

ภาคธุรกิจปล่อย ก๊าซเรือนกระจก มากสุดในไทย

พบแสนสิริ ร่วมตั้งเป้าปล่อย GHGs เป็นศูนย์ ปี 2050

ภาคธุรกิจ สัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHGs)
1. ภาคพลังงาน 61.11%
2. ภาคอุตสาหกรรม 16.67%
3. ภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน 15.96%
4. ภาคการเกษตร 3.31%
5. การจัดการของเสีย 2.95%
ที่มา: Climate Watch Data รายงาน 10 มี.ค. 65

โดย นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เผยว่า แม้ภาคอสังหาริมทรัพย์ จะไม่ใช่กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรงในปริมาณสูง แต่ห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ (Value Chain) ก็เป็นส่วนหนึ่งในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อันเป็นสาเหตุของโลกร้อนเช่นกัน

โดย แสนสิริ ในฐานะบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของไทย ที่ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero)

ได้เปิดเผยว่ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั้งสิ้น 229,486 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

อันมาจากการดำเนินธุรกิจโดยตรงของบริษัทเพียง 4,939.74 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี หรือคิดเป็น 2.2% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดเท่านั้น แยกย่อยได้เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

ขอบเขตที่ 1 หรือ การใช้น้ำมันในการดำเนินงานของแสนสิริ 0.2%

ขอบเขตที่ 2 หรือ การใช้น้ำมันและพลังงานในการดำเนินธุรกิจของบริษัท 2%

ขอบเขตที่ 3 หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม ที่มาจากห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ (Value Chain) ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมที่ 224,547.24 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี หรือ 97.8% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด

โดยตัวเลขนี้สามารถแยกย่อยได้เป็นการคาดการณ์การใช้ไฟฟ้าของลูกค้าในอีก 60 ปี ถึง 55% การซื้อวัสดุก่อสร้างจากคู่ค้า 29% การขนส่งสินค้าของคู่ค้า 2% และอื่น ๆ 14%

แสนสิริมีแผนที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจโดยตรงของบริษัท (ขอบเขตที่ 1 และ 2) ให้ได้ 20% ภายในปี 2025 (พ.ศ. 2568)

และลดก๊าซเรือนกระจกของทั้งขอบเขตที่ 1, 2 และ 3 ให้อยู่ที่ 50% ในปี 2033 (พ.ศ. 2576) โดยมีเป้าหมายสูงสุดสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์หรือ Net-Zero ให้ได้ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) ผ่าน 3 กลยุทธ์

กลยุทธ์ที่ 1: ก้าวสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ

มุ่งประหยัดพลังงานและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับการใช้นวัตกรรมเพื่อพลังงานสะอาดเป็น 100% ภายในปี 2025 (พ.ศ. 2568)

ผ่านการขยายแผนการติดตั้ง Solar Roof และ EV Charger ครบ 100% ให้กับบ้านแสนสิริทุกหลัง ทุกระดับราคา, ติดตั้ง Solar Roof ครบ 100% ในคลับเฮาส์ของทุกโครงการใหม่แสนสิริ, ติดตั้งระบบสูบน้ำและบำบัดน้ำเสียพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Water Treatment Pump) ในพื้นที่ส่วนกลางของทุกโครงการ, เปลี่ยนรถส่วนกลางของบริษัทให้เป็นรถ EV 100% และเปลี่ยนการใช้น้ำมันของเครื่องจักรทุกชนิดมาใช้พลังงานไบโอดีเซล 100%

กลยุทธ์ที่ 2 : ออกนโยบายด้านธรรมาภิบาลเพื่อลดคาร์บอนตลอดห่วงโซ่คุณค่า ภายใต้การดำเนินการ 3G

ได้แก่ Green Procurement เลือกคู่ค้าที่ใส่ใจกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน มีแผนลดการใช้พลังงานและน้ำทั้งในการผลิตและการใช้งานระยะยาว ใช้วัสดุในการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

รวมทั้งลดการใช้ทรัพยากรและนำกลับมาใช้ใหม่ (Circular Economy) พร้อมวางเป้าหมายจัดซื้อวัสดุ Low-carbon ที่ได้รับการรับรองจากสถาบันที่เกี่ยวข้อง ในสัดส่วน 30% ของวัสดุที่ผ่านการจัดซื้อโดยแสนสิริ ภายในปี 2025 (พ.ศ. 2568)

Green Architecture & Design ออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน เช่น Cooliving Designed Home นวัตกรรมบ้านเย็นช่วยประหยัดพลังงาน, Zero Waste Design การออกแบบที่ลดการสิ้นเปลืองและลดปริมาณขยะให้มากที่สุด, Universal Design การออกแบบที่ครอบคลุมการใช้งานของผู้อยู่อาศัยทุกวัย

รวมทั้งการผสมผสานแนวคิด Well-being ให้ความสำคัญสูงสุดด้านคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัย ทั้งความสะอาดปราศจากเชี้อโรค และครอบคลุมไปถึงการมีอากาศบริสุทธิ์

Green Construction การก่อสร้างและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีวัสดุเหลือใช้เป็นศูนย์ ตลอดจนใช้นวัตกรรมในการพัฒนาโครงการอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อย่นเวลาในการก่อสร้างให้มากที่สุดและก่อเกิด waste น้อยที่สุด

กลยุทธ์ที่ 3: การลงทุนในนวัตกรรมสีเขียว

ลงทุนในบริษัทที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และเทคโนโลยีการก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยงบประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันได้ลงทุนไปแล้ว 3 บริษัท คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 120 ล้านบาท

โดยแสนสิริวางแผนที่จะจับมือพันธมิตรกว่า 10 ราย ตั้งทีมวิจัยและพัฒนา (Research & Development Team) เพื่อพัฒนาบ้านที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net-Zero Home) ครั้งแรกของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ได้ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593)

โดยมีบริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าครบวงจร และ บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ จำกัด ผู้พัฒนาโซลูชันพลังงานโซลาร์ครบวงจรเป็นหนึ่งในพันธมิตร

โดยมีเป้าหมายระยะสั้นและระยะกลางที่จะพัฒนาบ้านประหยัดพลังงาน (Low-energy Home) ภายในปี 2023 (พ.ศ. 2566) และบ้านที่ลดการปล่อยคาร์บอน 30% (Low-carbon Home) ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573)

ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยเทรนด์แห่งอนาคตและนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน อาทิ การใช้ AI ในการคำนวณการประหยัดพลังงานของที่อยู่อาศัย, การใช้ไฟเบอร์แทนเหล็กเส้นในการก่อสร้าง, การพัฒนานวัตกรรมการก่อสร้างแบบพรีคาสต์ให้ปล่อยคาร์บอนและของเสียเป็นศูนย์

ทั้งหลังคาโซลาร์เซลล์ที่ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้นและมีแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานไว้ใช้ในเวลากลางคืน, กระเบื้องลอนมุงหลังคาที่ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์, การแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ระหว่างครัวเรือน, สวนที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ตลอดจนนวัตกรรมของเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าแห่งอนาคต เป็นต้น

 

ส่องเป้าหมาย

ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHGs) เป็นศูนย์

จากแสนสิริ บริษัทอสังหาฯ ของไทย

ปี ค.ศ. แนวทาง
2025 ลดการปล่อย GHGs ขอบเขตที่ 1* และ 2** ให้ได้ 20%
2033 ลดการปล่อย GHGs ขอบเขตที่ 1*, 2** และ 3*** ให้ได้ 50%
2050 ปล่อย GHGs ขอบเขตที่ 1*, 2** และ 3*** เป็นศูนย์ ผ่าน 3 กลยุทธ์

  1. องค์กรคาร์บอนต่ำ

2. ออกนโยบายด้านธรรมาภิบาลเพื่อลดคาร์บอนตลอดห่วงโซ่คุณค่า

3. ลงทุนในนวัตกรรมสีเขียว

พัฒนาการของบ้านจากแสนสิริ
ปี ค.ศ. บ้าน
2023 บ้านประหยัดพลังงาน
2030 บ้านปล่อย GHGs 30%
2050 บ้านปล่อย GHGs เป็นศูนย์
*จากการใช้น้ำมันในการดำเนินงานของแสนสิริที่ 0.2%

**จากการใช้น้ำมันและพลังงานในการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่ 2%

***จากการปล่อย GHGs ทางอ้อมที่มาจากห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain)

ที่มาข้อมูล : แสนสิริ



อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline

ติดตาม Marketeer Online ทาง LINE Official


เพิ่มเพื่อน