เมื่อสัตว์เลี้ยงคือสมาชิกของ “ครอบครัว” ที่คนต้องยอมจ่ายเพื่อให้นายของตนได้มีความสุขกับอาหารที่ดี อร่อย และถูกปาก
เมื่อมีคนยอมจ่าย เท่าไรเท่ากัน
ก็เลยกลายเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ผลิต โดยเฉพาะธุรกิจอาหารคนรายใหญ่ที่หวังใช้ความเชี่ยวชาญในการทำอาหารคนต่อยอดทำอาหารหมาแมว เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดอาหารสัตว์มาให้ได้มากที่สุด
มาดูกันว่า บริษัทใหญ่ที่กำลังต่อยอดรายได้จากธุรกิจอาหารคนสู่อาหารสัตว์เลี้ยงมีใครบ้าง
CP กรุ๊ป หรือเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่มีบริษัทลูกเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) CPF ทำธุรกิจอาหารคนภายใต้วิสัยทัศน์ Kitchen of the World มานาน
ปัจจุบันมี 2 บริษัทหลัก ๆ ที่ต่อยอดมาทำอาหารสัตว์เลี้ยง คือ บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป ที่มีรายได้แตะ 10,000 ล้านบาทในปี 2561 และโตมาอย่างต่อเนื่องจนถึง 13,137 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
ต่อมาในปี 2545 ได้ตั้งบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็ทฟู้ด เน้นอาหารสุนัขเเละเเมว ที่ในปี 2562 ทำรายได้ 990 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 1,338 ล้านบาทในปี 2564
บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ i-Tail บริษัทในเครือของกลุ่มไทยยูเนี่ยน (TU) ที่เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลระดับโลก
และปัจจุบันคือผู้นำในการผลิต “อาหารสัตว์เลี้ยง” ของประเทศไทย อันดับ 2 ของเอเชีย และอยู่ใน Top 10 ของโลก
มีกำลังการผลิตรวมมากกว่า 172,000 ตันต่อปี หรือเทียบเท่าได้กับรถสิบล้อกว่า 11,500 คัน
สัดส่วนรายได้จากการขายของ i-Tail จำนวน 14,528 ล้านบาท ในปี 2564 แบ่งเป็นสัดส่วนจากอเมริกา 44.9% ยุโรป 19.4% ญี่ปุ่น 14.5% และจีน 3.2%
โครงสร้างรายได้มาจากอาหารแมว 73.7% อาหารสุนัข 11.4% ขนมทานเล่นสำหรับแมว 9.5% ขนมทานเล่นสำหรับสุนัข 5.3% อื่น ๆ 0.1 และรายได้หลักมาจากกลุ่ม OEM 98.8%
i-Tail กำลังเตรียมขายหุ้นไอพีโอ เป็นบริษัทอาหารสัตว์เลี้ยงรายที่ 2 ที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อจาก AAI
บมจ. เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (AAI) เป็นบริษัทขายอาหารสัตว์รายแรกที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปเมื่อวานนี้ (1 พ.ย. 2565) และสามารถปิดการซื้อขายวันแรกที่ราคา 8.90 บาท เพิ่มขึ้น 60.36% หรือ 3.35 บาท จากราคาไอพีโอที่ 5.55 บาท มูลค่าการซื้อขาย 7,405 ล้านบาท
AAI จัดตั้งขึ้นในปี 2548 โดยแยกตัวมาจากบริษัทแม่ คือบริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ASIAN) ที่ผลิตอาหารแช่แข็งเป็นหลัก
เมื่อประมาณ 10 ปีก่อนโรงงานเคยผลิตอาหารคน 90% อาหารสัตว์เลี้ยง 10% และวันนี้อาหารคนผลิตเพียง 20% เป็นอาหารสัตว์เลี้ยง 80% และสัตว์เลี้ยงที่ว่าคือ แมว 80% สุนัข 20%
เพ็ท โฟ กัส บริษัทลูกของ บมจ. เบทาโกร ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารชั้นนำมานานกว่า 55 ปี (บริษัทแม่เบทาโกรเพิ่งเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปเมื่อวานนี้) โดยแยกตัวมาทำอาหารสัตว์เลี้ยงตั้งแต่ปี 2547
ในปี 2562 มีรายได้ 948 ล้านบาท ในปี 2564 เพิ่มเป็น 1,542 ล้านบาท กำไรอยู่ที่ 97 ล้านบาท
เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เนสท์เล่ บริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลก ทำตลาดครอบคลุม 190 ประเทศทั่วโลก
เนสท์เล่ได้ขยายมาผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงมานาน แต่การประกาศทุ่มเงิน 5,000 ล้านบาทเมื่อประมาณต้นปี 2565 ที่ผ่านมา เพื่อเปิดโรงงานเนสท์เล่ เพียวริน่า เพ็ทแคร์ แห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ. ระยอง โดยใช้เทคโนโลยีสุดล้ำระดับโลกในการผลิตอาหารแมวชนิดเปียกคุณภาพระดับพรีเมียม เพื่อรองรับตลาดในประเทศไทย และส่งออกไปยังต่างประเทศ
ตอกย้ำให้เห็นว่า เนสท์เล่พร้อมที่จะกระโดดลงมายังตลาดนี้อย่างเต็มตัว
นี่คือปรากฏการณ์ของผู้เล่นรายใหญ่ แต่ยังมีผู้ผลิตรายกลาง รายเล็กอีกมากมายที่พร้อมจะก้าวมาสู่สงครามนี้ด้วยความมั่นใจว่า ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ทาสอดได้ แต่เจ้านายอดไม่ได้
คำถาม ทำไมต้องทุ่มเทกันขนาดนี้ ก็คงต้องลองมาเลี้ยงสักตัว แล้วคำตอบจะมาเอง
–
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ