นับเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ที่กลุ่มธุรกิจอาหารญี่ปุ่น CRG หรือ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด เงียบหายไปจากการขยายธุรกิจผ่านการซื้อ Franchise และ Exclusive Right แบรนด์อาหารญี่ปุ่นใหม่ ๆ มาช่วยเพิ่มโอกาสขยายธุรกิจในอนาคต
หลังจากที่ CRG ซื้อแฟรนไชส์ทงคัตสึ คัตสึด้ง หมูทอดสไตล์ญี่ปุ่นแบรนด์ คัตสึยะ ในรูปแบบ Exclusive Right เมื่อปี 2557
การซื้อ Franchise และ Exclusive Right ในกลุ่มอาหารญี่ปุ่นที่หายไปอย่างยาวนาน ธีรวัฒน์ เลิศถิรพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมาผู้บริหารทีมเก่าให้ความสำคัญกับอาหารประเภทดงบุริ หรือข้าวหน้าต่าง ๆ จากการมองเห็นข้าวหน้าต่าง ๆ เป็นอาหารที่เหมาะสมกับคนไทย
ทำให้ในช่วงที่ผ่านมากลุ่มอาหารญี่ปุ่นของ CRG เน้นการขยายโอกาสจากอาหารแบรนด์เดิม ๆ 6 แบรนด์ที่มีอยู่ ผ่านการต่อยอดสร้างรายได้ให้เติบโตขึ้นด้วย
– เมนูใหม่ ในกลุ่มพรีเมียมและแมส ดึงดูดผู้บริโภค และสร้างสีสันให้กับเมนูอาหารในรูปแบบซีซันนอล
– ขยายสาขา ช่องทางให้บริการ และรูปแบบร้านให้ครอบคลุมและเข้าถึงความต้องการใหม่ ๆ เช่น Ootoya มีการเปิดช้อปอินช้อป Ootoya Café ในร้านอาหาร Ootoya สยามพารากอน เพื่อสร้างโอกาสในการขายขนมให้มีสัดส่วนที่เติบโตจากเดิม ที่สัดส่วนอาหารกลุ่มขนมใน Ootoya มีรายได้เพียง 1% เท่านั้น และขนมยังเป็นอาหารที่ดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาในร้าน Ootoya ในทุกช่วงเวลาเพื่อสั่งขนมรับประทานแทนอาหารหลักที่จะมีช่วงเวลาการขายอยู่ที่ช่วงเที่ยงและเย็นซึ่งเป็นเวลารับประทานอาหารเท่านั้น
– แคมเปญโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ เช่น ล่าสุด Paper Lunch จัดแคมเปญครบรอบ 16 ปีในไทย อัปเกรดปริมาณอาหารใน 3 เมนูซิกเนเจอร์, จัดกิจกรรม Luck Drawn เมื่อรับประทานอาหารครบ 400 บาท และกิจกรรมร่วมสนุกต่าง ๆ
ส่วนในปัจจุบัน เหตุผลที่ CRG หันมารุกธุรกิจอาหารญี่ปุ่นผ่านแบรนด์อาหารใหม่ ๆ มาจาก
1. ผู้บริโภคกลับออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน และรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น
และการกลับมาใช้ชีวิตรับประทานอาหารนอกบ้านในยุคโพสต์โควิด-19 ผู้บริโภคมีพฤติกรรมรับประทานอาหารที่เปลี่ยนไป มีความนิยมรับประทานอาหารในรูปแบบแชริ่ง เช่น ปิ้งย่าง, ฮอตพ็อต กับเพื่อนบนโต๊ะอาหารมากขึ้น เพื่อชดเชยอารมณ์รับประทานอาหารจานเดียวที่บ้านในช่วงโควิดมาอย่างยาวนาน
2. ในปัจจุบันสาขาแบรนด์ในกลุ่มอาหารญี่ปุ่นของ CRG มีสาขาการขยายสาขาเข้าถึงลูกค้าได้เกือบครอบคลุม โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้การสร้างรายได้ผ่านการขยายสาขาเป็นหลักจะเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาดึงลูกค้าของสาขาอื่นกันเอง
CRG จึงต้องการขยายโอกาสรายได้ใหม่ ๆ ผ่านแบรนด์ใหม่เข้าถึงลูกค้าในเซกเมนต์ที่แบรนด์อาหารญี่ปุ่นของ CRG ยังไม่มีมาก่อน
3 .ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้ามีการแข่งขันกันสูงขึ้นในทุกช่วงระดับราคาตั้งแต่ระดับแมสไปจนถึงพรีเมียม จากแบรนด์ใหม่ ๆ ที่เข้ามาให้บริการในห้างดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่นิยมรับประทานอาหารในห้างเพราะสามารถตอบโจทย์ทั้งกินและช้อปได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ประกอบกับพื้นที่ในห้างปรับเปลี่ยนจากพื้นที่เดิมที่เคยเป็นร้านจำหน่ายเสื้อผ้าแฟชั่น ร้านจำหน่ายไอที มาสู่ร้านอาหารมากขึ้น เพราะแบรนด์แฟชั่นและไอทีมองว่าช่องทางจำหน่ายออนไลน์สามารถเข้ามาตอบโจทย์ด้านยอดขายได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีสาขาในห้างจำนวนมากเหมือนในอดีต
4. ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคมองอาหารญี่ปุ่นเป็นอาหารที่รับประทานในชีวิตประจำวัน แทนอาหารที่รับประทานเพื่อรางวัลให้กับตัวเองเหมือนในอดีต
5. เทรนด์เคป๊อปผลักดันให้กระแสอาหารเกาหลี เป็นอาหารที่ผู้บริโภคพูดถึง และนิยมรับประทานมากขึ้น
แม้ในวันนี้สัดส่วนรายได้ของอาหารเกาหลียังตามหลังอาหารญี่ปุ่นหลายเท่า แต่เป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างน่าสนใจ

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ CRG จึงเลือกที่จะขยายโอกาสทางรายได้ผ่านอาหารแบรนด์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น 4 แบรนด์ ในรูปแบบ Franchise และ Exclusive Right แบ่งเป็นแบรนด์อาหารญี่ปุ่น 3 แบรนด์และแบรนด์เกาหลี 1 แบรนด์
แบรนด์อาหารญี่ปุ่น CRG จะคัดเลือกจากแบรนด์อาหารที่ติด Top3 ในกลุ่มอาหารแต่ละกลุ่มที่ต้องการ แทนการสร้างแบรนด์ใหม่ด้วยตัวเอง
เนื่องจาก CRG มีความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน และการซื้อ Franchise และ Exclusive Right จากเจ้าของแบรนด์ ประเทศญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในเครื่องการันตีด้านคุณภาพและรสชาติของอาหาร, ควบคุมคุณภาพอาหารและบริการ
และยังสามารถให้ CRG ทำตลาด สร้าง Awareness ได้อย่างรวดเร็ว จากแบรนด์นำเข้ามาเป็นแบรนด์ที่คนไทยที่เคยไปญี่ปุ่นคุ้นตาจากสาขาที่เปิดจำนวนมาก หรือเป็นร้านอาหารแนะนำเมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น
โดยแบรนด์อาหารญี่ปุ่นใหม่ ๆ ที่จะนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพื่อเสริมอาณาจักรอาหารให้กับ CRG แบรนด์แรก ได้แก่ แบรนด์ Ramen Kagetsu Arashi แบรนด์ราเมนอันดับสาม ในญี่ปุ่น ด้วยสาขาญี่ปุ่นกว่า 200 สาขา
ในประเทศไทย Ramen Kagetsu Arashi เปิดตัวในวันที่ 22 ธันวาคม 2565 นำร่องสาขาแรกที่สยามสแควร์วัน เพื่อทดลองการตอบรับของตลาด ก่อนที่ขยายสาขาอื่น ๆ ในอนาคต
จุดเด่นของแบรนด์ Ramen Kagetsu Arashi เป็นราเมนที่มีระดับราคาเริ่มต้น 150 บาท ใช้น้ำซุปกระดูกหมู วัตถุดิบนำเข้าจากญี่ปุ่น
เหตุผลเลือกแบรนด์ราเมน Ramen Kagetsu Arashi เข้ามาทำตลาดในไทยทั้ง ๆ ที่ CRG มีแบรนด์ Chabuton ทำตลาดราเมนก่อนหน้านั้นมาจาก CRG เห็นโอกาสการเติบโตของพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมรับประทานราเมนเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีแบรนด์ราเมนใหม่ ๆ เข้ามาทำตลาดจำนวนมาก
ธีรวัฒน์ให้ข้อมูลว่าแบรนด์ Ramen Kagetsu Arashi จะเป็นราเมนที่อยู่คนละเซกเมนต์กับ Chabuton โดย Chabuton จะเป็นราเมนกลุ่มพรีเมียม เน้นความพิเศษของวัตถุดิบ เช่น เนื้อวากิว เห็ดทราฟเฟิล
ส่วน Ramen Kagetsu Arashi จะเป็นราเมนกลุ่มแมส ที่สามารถเข้าถึงง่าย รับประทานได้ทุกวัน
ในกลุ่มแบรนด์อาหารญี่ปุ่น CRG ยังมีแผนนำอาหารกลุ่มปิ้งย่าง และอิซากายะ ที่ติด Top3 ในประเทศญี่ปุ่นเข้ามาทำตลาดเพิ่มอีกสองแบรนด์ ซึ่งในปัจจุบันยังคงอยู่ในกระบวนการดำเนินการต่าง ๆ กับเจ้าของแบรนด์ และคาดการณ์ว่าทั้งสองแบรนด์นี้จะสามารถนำเข้ามาเปิดตลาดในไทยได้ภายในครึ่งปีหลังของปี 2566
สำหรับแบรนด์อาหารเกาหลีเป็นแบรนด์ที่ CRG นำเข้ามาอยู่ในพอร์ตกลุ่มอาหารญี่ปุ่นจากการมองเห็นโอกาสของเคป๊อปและการเติบโตตามที่เราได้กล่าวมาข้างต้น
ซึ่งแบรนด์อาหารเกาหลี CRG ใช้วิธีซื้อ Franchise จากแบรนด์อาหารเกาหลีที่คนเกาหลีมาเปิดให้บริการในไทย เพื่อต่อยอดธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว
แม้ในวันนี้ CRG ยังไม่เปิดเผยชื่อแบรนด์อาหารเกาหลีที่กำลังจะเข้ามาทำตลาด แต่ธีรวัฒน์เชื่อว่าจะสามารถเปิดให้บริการในไทยภายใต้อาณาจักร CRG ได้ในครึ่งปีแรก 2566

สำหรับรายได้กลุ่มธุรกิจอาหารของ CRG จะมาจาก 5 กลุ่มหลักได้แก่
1. Bakery and Beverage Cuisine
ประกอบด้วย Mister Donut, Auntie Anne’s, Cold Stone Creamery และ Arigato
- Western Cuisine
ประกอบด้วย KFC
- Thai and Chinese Cuisine
ประกอบด้วย Thai Terrace, Aroi dee และ Kawlune
- Japanese Cuisine
ประกอบด้วย Pepper Lunch, Chabuton, Yoshinoya, Ootoya, Tenya และ Katsuya
- Joint Venture Brand
ประกอบด้วย Salad Factory, Brown Cafe, SomtamNua และ Shinkanzen Sushi
โดยกลุ่มอาหารญี่ปุ่นสามารถสร้างสัดส่วนรายได้ 20% ให้กับกลุ่ม CRG
และในปีนี้คาดการณ์ว่ากลุ่มอาหารญี่ปุ่นจะสามารถสร้างรายได้มากถึง 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 1,900 ล้านบาท ผ่าน 6 แบรนด์อาหารที่มีอยู่ในปัจจุบัน
และคาดการณ์ว่าในปี 2566 กลุ่มอาหารญี่ปุ่นจะสามารถสร้างรายได้ถึง 2,300 ล้านบาท ผ่าน 6 แบรนด์เดิม ซึ่งถ้ารวมกับแบรนด์ใหม่ ๆ ที่จะเปิดให้บริการในอนาคต รายได้ในกลุ่มอาหารญี่ปุ่นเติบโตกว่านี้แน่นอน
–
