Baskin Robbins ไอศกรีมสัญชาติอเมริกันที่โด่งดังในต่างประเทศ แต่โบกมือลาเมืองไทย
เมื่อประมาณช่วงเดือนมีนาคม 2023 หลายคนน่าจะเคยเห็นไอศกรีม Baskin Robbins (บาสกิ้น-ร็อบบิ้นส์) ประกาศปิดกิจการในไทยอย่างถาวร เนื่องจากบริษัทขาดทุนอย่างหนักจากสาขาที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์เศรษฐกิจ และคู่แข่งแบรนด์ไอศกรีมต่าง ๆ รวมไปถึงความนิยมของผู้บริโภค
อ่าน : Baskin Robbinsหายไปจากไทย
เรียกได้ว่าเป็นข่าวที่น่าเสียดายอย่างมากสำหรับคนรักไอศกรีมยี่ห้อนี้ เพราะหลังจากนี้ถ้าอยากกินBaskin Robbinsจะต้องเดินทางไปต่างประเทศเท่านั้น เนื่องจากกิจการBaskin Robbinsในต่างประเทศกำลังเติบโตไปได้ด้วยดี เห็นได้จากรายได้ประจำปีที่เติบโตอย่างก้าวหน้า
อย่างในปี 2019 Baskin Robbinsมีรายได้กว่า 48.13 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐอเมริกา และ 112.38 ล้านดอลลาร์ในสาขาต่างประเทศ และในปี 2018Baskin Robbinsมีรายได้กว่า 47.42 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐอเมริกา และ 115.37 ล้านดอลลาร์ในสาขาต่างประเทศ
ปัจจุบันBaskin Robbinsเป็นหนึ่งในเครือข่ายแบรนด์ไอศกรีมพรีเมียมชั้นนำของอเมริกาที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสาขามากกว่า 7,700 แห่งทั่วโลก
เพราะเพียงแค่เห็นโลโก้สีชมพูฟ้า และอักษรย่อ BR หลายคนก็น่าจะนึกถึงรสชาติแสนอร่อยของไอศกรีมBaskin Robbinsกันแน่นอน เพราะสัญลักษณ์ที่โดดเด่นบวกกับชื่อเสียงในเรื่องไอศกรีมและเค้กของBaskin Robbinsที่ทำให้ผู้คนสามารถนึกถึงได้ทันที
นอกจากนี้ Baskin Robbinsยังเป็นที่รู้จักจากสโลแกน “31 รสชาติ” ด้วยแนวคิดที่ว่าลูกค้าสามารถลิ้มลองรสชาติที่แตกต่างกันได้ทุกวันทุกเดือน ซึ่งสโลแกนมาจากบริษัทโฆษณา Carson-Roberts (ต่อมารวมเป็น Ogilvy & Mather) ในปี 1953 อีกด้วย เพราะแบรนด์เชื่อว่าผู้คนควรได้ลิ้มลองรสชาติฟรีจนกว่าจะเจอรสชาติที่ต้องการซื้อ
ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมBaskin Robbinsถึงสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกนั่นเอง
จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Baskin Robbins
Baskin Robbinsก่อตั้งโดย Burt Baskin (เบิร์ต บาสกิ้น) และ Irv Robbins (ไอร์ฟ ร็อบบินส์) ในปี 1945 ในเมืองเกลนเดล รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
เริ่มแรกBaskin Robbinsเกิดจากการรวมตัวของร้านไอศกรีมของชาวอเมริกัน 2 คน โดย Burt Baskin ได้เรียนรู้เกี่ยวกับไอศกรีมในขณะที่เขาอยู่ในกองทัพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเขาได้เริ่มทำไอศกรีมเพื่อทหารคนอื่น ๆ ต่อมาเขาได้เริ่มใช้ผลไม้เมืองร้อนบางชนิดในการทำไอศกรีม และหลังจากสิ้นสุดสงครามโลก Burt Baskin ก็ได้ทำธุรกิจไอศกรีมต่อไป
ส่วน Irv Robbins อยู่กับธุรกิจไอศกรีมมาทั้งชีวิต เพราะครอบครัวของเขาเปิดร้านไอศกรีม ทำให้เมื่อเขายังเป็นเด็ก เขาได้ช่วยครอบครัวดูแลกิจการไอศกรีม และหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาก็ได้เปิดร้าน Snowbird Ice Cream (สโนว์เบิร์ดไอศกรีม) ในแคลิฟอร์เนีย
ซึ่งในช่วงระหว่างที่พวกเขาทั้งสองคนเป็นทหารในกองทัพ พวกเขาได้รู้จักกันและเป็นเพื่อนกันอย่างสนิทสนม ต่อมา Burt Baskin ได้แต่งงานกับ Shirley Robbins (เชอร์ลีย์ ร็อบบินส์) น้องสาวของ Irv Robbins ทำให้พวกเขาทั้งสองตัดสินใจรวมธุรกิจร้านไอศกรีมเข้าด้วยกันและใช้ชื่อว่าBaskin Robbins
ธุรกิจBaskin Robbinsในตอนแรกจึงมีทั้งหมด 31 รสชาติ ซึ่งในสมัยนั้นถือว่ามีรสชาติเยอะมาก ๆ และ 31 รสชาตินี้ก็ได้ถูกคนญี่ปุ่นเรียกBaskin Robbinsว่า เทอร์ตี้วันไอศกรีม มาจนถึงในปัจจุบัน เพราะรูปแบบไอคอนที่เป็นเลข 31 บนช้อนสำหรับให้ชิมไอศกรีมนั่นเอง
3 ปีต่อมาBaskin Robbinsก็ได้รับความนิยมจนสามารถขยายสาขาได้มากถึง 6 สาขา และในปีต่อมาก็ได้เปิดโรงงานผลิตของแบรนด์ขึ้นในเบอร์แบงก์ ถือได้ว่าเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น
หลังจากที่Baskin Robbinsถูกซื้อกิจการในปี 1967 โดย United Fruit Company (ยูไนเต็ดฟรุต) ก็ได้ขยายกิจการไปสู่ระดับสากล โดยเริ่มเปิดสาขาในญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย
กิจการ Baskin Robbins ในต่างประเทศ
เป็นที่รู้กันว่าBaskin Robbinsเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลและมีสาขาในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ด้วยนวัตกรรมและการวิจัยอย่างต่อเนื่องของแบรนด์Baskin Robinsทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่นั่นเอง
อย่างในประเทศอินเดียBaskin Robbinsเป็นหนึ่งใน 100 แบรนด์แฟรนไชส์ชั้นนำ และยังเป็นเครือข่ายร้านค้าปลีกไอศกรีมที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย โดยมีร้านมากกว่า 725 แห่งอีกด้วย ด้วยคุณภาพสูงของเนื้อไอศกรีมและเมนูที่มีให้เลือกจำนวนมาก ทำให้Baskin Robbinsเป็นที่นิยมได้อย่างไม่ยากในอินเดีย
นอกจากนี้Baskin Robbinsยังมีการปรับเปลี่ยนวัตถุดิบ เพื่อให้เข้ากับนิสัยทางวัฒนธรรมของคนอินเดียอีกด้วย ทำให้เป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามทั่วประเทศ รวมไปถึงการขยายการตลาดให้เหมาะกับวัฒนธรรมของอินเดีย จนสามารถสร้างรายได้ให้สอดคล้องกับวันพิเศษบางวันได้สำเร็จ เช่น วันวาเลนไทน์ ในอินเดียBaskin Robbinsมีการกำหนดคำอธิบายของไอศกรีมทุกรสชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับความสัมพันธ์ตามที่ลูกค้าซื้อไอศกรีมรสนั้น ๆ เพื่อมอบให้กับคนที่พวกเขารัก
ตั้งแต่ปี 1993 ที่Baskin Robbinsได้เข้ามาสู่อินเดียจนถึงปัจจุบันนี้Baskin Robbinsได้ยึดตำแหน่งเป็นแบรนด์ไอศกรีมที่คนอินเดียชื่นชอบมาก ส่งผลให้ธุรกิจBaskin Robbinsในอินเดียมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 10-15%
หรือกิจการBaskin Robbinsในเกาหลีใต้ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีร้านค้ากระจายอยู่ทั่วประเทศ และมีรสชาติพิเศษเฉพาะที่หาได้ในเกาหลีเท่านั้น
นอกจากนี้Baskin Robbinsในเกาหลีใต้ยังได้เปิดสาขาพิเศษมากมายอย่าง ร้านBaskin Robbinsในธีม Hanbok ใน Samcheong-dong ซึ่งเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงโซล หรือร้านBaskin Robbinsแบบไร้คนแห่งแรกในเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่ที่ Wirye New Town
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้Baskin Robbinsเป็นที่นิยมในเกาหลีใต้อย่างมาก เพราะนวัตกรรมเทคโนโลยีในร้านที่ทันสมัย และรสชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
บทสรุป
วันนี้ กว่าครึ่งศตวรรษหลังจาก Burt Baskin และ Irv Robbins เกิดความคิดที่จะให้มีรสชาติเดียวสำหรับทุกวันของเดือนในร้านไอศกรีมแห่งเดียว Baskin Robbins ก็ได้เป็นเครือข่ายไอศกรีมที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีร้านมากกว่า 4,400 ร้านในกว่า 50 ประเทศ
ถึงแม้ว่า Ben & Jerry’s และ Haagen-Dazs กลายเป็นผู้เล่นหลักในตลาดไอศกรีม แต่ Baskin Robbins ยังคงครองตำแหน่งสูงสุด เป็นเวลา 12 ปีจาก 15 ปีที่ผ่านมา ได้รับการโหวตให้เป็นร้านขนมหวานยอดนิยมของอเมริกา จากการสำรวจของนิตยสาร Restaurants and Institutions ทั้งยังได้รับคะแนนโดยรวมสูงสุดสำหรับเมนูที่หลากหลายในกลุ่มร้านอาหารบริการด่วนทั้งหมด นอกจากนี้ นิตยสาร Entrepreneur ยังจัดอันดับให้ Baskin Robbins เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ชั้นนำในสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง
ที่มา:
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



