หลายคนจำกัดความฝันตัวเองด้วยตัวเลขของอายุ คิดว่าการได้ทำในสิ่งที่รักเป็นเพียงแค่เรื่องของเด็กวัยรุ่นเท่านั้น ซึ่งถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดแบบนี้ เราอยากจะให้คุณได้ฟังเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่กล้าลุกออกมาทำตามความฝัน ตัดสินใจลาออกจากการเป็นข้าราชการ งานที่ใคร ๆ ก็บอกว่ามั่นคง เพียงเหตุผลสั้น ๆ ว่าอยากทำงานเกี่ยวกับแฟชั่น
“ทั้งที่ตอนนั้นก็ยังไม่มีเงินทุน แถมยังมีภาระที่ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่อยู่”
จนถึงตอนนี้ เธอจบปริญญาตรีอีกใบที่ศิลปากรตอนอายุ 48 จบปริญญาโทตอนอายุ 55 ที่เกษตรศาสตร์ในสาขาที่เกี่ยวกับแฟชั่น และสามารถพาแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเธอเอง ไปเดินบนรันเวย์ระดับโลก ที่กรุงเวียนนาประเทศออสเตรียได้ตอนอายุ 59
ผู้หญิงที่เราพูดถึงคนนี้คือ เมธาวี อ่างทอง หรือคุณเม แห่ง BLACK SUGAR แบรนด์เสื้อผ้าที่ใครเห็นในตอนแรกก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่า เจ้าของดีไซน์สุดเปรี้ยวเหล่านี้จะมีอายุ 60 เข้าไปแล้ว !
ส่วนเส้นทางการเป็นข้าราชการสู่ดีไซน์เนอร์ของเธอจะเป็นยังไง ? ทำไมถึงไม่เคยเอาอายุมาเป็นข้ออ้างในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา ? แล้วทำไมคนเกาหลีถึงมาขอซื้อแบรนด์ BLACK SUGAR ไปเปิดที่เมืองอปป้าของพวกเขาได้ ?
มาหาคำตอบ จากการพูดคุยที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจที่ด้านล่างนี้กัน!
แม้จะเป็นข้าราชการ แต่ความฝันยังคงอยู่ในใจ
เดิมทีคุณเมเป็นคนชอบในเรื่องของแฟชั่นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่ด้วยฐานะที่บ้านที่ยากจน คุณเมจึงไม่สามารถเดินไปตามความฝันของตัวเองได้ จากที่อยากเรียนเพาะช่าง อยากเรียนศิลปากร ก็ต้องมาเรียนด้านการเงินการธนาคารเอาตอนภาคค่ำ เพราะกลางวันต้องทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง และเมื่อเรียนจบ เธอก็เข้ารับราชการด้วยเหตุผลของความมั่นคง แบบที่ค่านิยมของคนสมัยนั้นเขาคิดกัน
แม้จะรับราชการไปได้ 5 ปี แต่ความฝันที่มีในตอนเด็กยังคงอยู่ในใจ สุดท้ายคุณเมก็เลยหาเวลาว่างที่มีในวันเสาร์-อาทิตย์ เข้ามาเรียนเกี่ยวกับแฟชั่นในกรุงเทพ ในตอนนั้นหวังเพียงแค่ว่าจะได้ตัดเสื้อผ้าให้ตัวเธอเองและเพื่อน ๆ ได้ใส่กัน
จนตอนนั้นมีเพื่อนคนนึงทำเสื้อผ้าเด็กส่งออกตะวันออกกลาง เธอก็เลยเขาไปช่วยออกแบบให้ฟรี กะไปช่วยขำ ๆ แต่ผลปรากฏว่าชุดที่คุณเมออกแบบมากลับได้รับ Feedback ที่ดี ดีไซน์อะไรออกมาก็ขายได้หมด คุณเมก็เลยเริ่มทำควบคู่กับการเป็นข้าราชการไปด้วย กะว่าวันธรรมดาก็จะทำงานหลัก ส่วนเสาร์ อาทิตย์ค่อยแบ่งเวลามาคุมงานเสื้อผ้า ก็ทำแบบนี้ไปได้เรื่อย ๆ จนเริ่มขยับขยาย ออกมาทำโรงงานเล็ก ๆ ของเป็นของตัวเอง ที่ในตอนนั้นมีเครื่องจักรอยู่ประมาณ 4-5ตัว
ทำไปได้ไม่ถึงเดือน…..คุณเมบอกกับเราว่า ตอนนั้นรู้สึกตื่นเต้นมาก ว่าเห้ย มันขายได้เยอะขนาดนี้เลยหรอ เป็นร้อย ๆ โหลเลยหรอ จนเมื่อมีออร์เดอร์เข้ามาเยอะขึ้น เวลาในการทำงานราชการก็น้อยลง สุดท้าย ก็เลยต้องตัดสินใจออกจากการเป็นข้าราชการตอนอายุ 33 และมาทำเสื้อผ้าเด็กส่งออกนอกอย่างเต็มตัว
ออกมาทำแรก ๆ ปัญหาก็เข้ามาแบบไม่ทันได้ตั้งรับ
แม้จะเป็นคนชอบแฟชั่น แต่ความรู้ด้านแฟชั่นในตอนนั้นอยู่แค่ในระดับที่ ดูเป็น แต่ทำไม่เป็น คุณเมเลยต้องจ้างดีไซน์เนอร์ จ้างช่าง Pattern ให้เข้ามาช่วย พอทำไปได้สักพัก ดีไซน์เนอร์กับช่างก็มีปัญหากัน สุดท้ายคนที่เป็นดีไซน์เนอร์ก็เลยลาออกไป
ตรงนี้เองเป็น Flight บังคับให้คุณเมต้องไปเรียนออกแบบอย่างเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น เพราะมันอยู่ในจุดที่ไม่สามารถอาศัยคนอื่นต่อไปได้อีกแล้ว โดยการเข้าไปสมัครเรียนที่สถาบันสอนเกี่ยวกับแฟชั่นตามที่ต่าง ๆ พอจบคอร์สออกแบบ ก็ไปต่อคอร์ส Pattern จนทำเป็นเองทุกขั้นตอน
และเมื่อเริ่มทำเองเป็นทุกอย่าง สเกลธุรกิจก็เริ่มใหญ่ขึ้น จากที่เคยมีพนักงานแค่ 4-5 คน คราวนี้ก็กลายมาเป็นโรงงานบนเนื้อที่ 200 ตารางวา และพนักงานก็เพิ่มขึ้นเป็นหลักร้อยในระยะเวลาแค่ปีกว่า ๆ เท่านั้นเอง
เริ่มมาทำแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง เพราะธุรกิจส่งออกดันมีปัญหา
ด้วยความที่ทำธุรกิจเป็นแบบอุตสาหกรรมส่งออก ก็จะต้องมีเรื่องของการวางบิลเป็นธรรมดา แต่ช่วงที่คุณเมอายุ 50 มันกลับเป็นการวางบิลที่ไม่ได้เงิน ลูกค้าต่างประเทศติดตังค์ ทีงี้ทำไงดีละ? เพราะก็ยังมี Fix Cost มีลูกน้องอยู่ในบ้านอีกตั้งร้อยกว่าคน
คุณเมจึงตัดสินใจออกมาทำเสื้อผ้าเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือการสร้างแบรนด์เป็นของตัวเองที่ใช้ชื่อว่า Boutanique เสื้อผ้าแนวธรรมชาติ ให้ความรู้สึกชิลล์ ๆ เวลาใส่
และเมื่อไปได้สวยคุณเมก็เริ่มแตกไลน์สินค้าด้วยการสร้างแบรนด์ Black Sugar เสื้อผ้าที่มีแต่สีขาวดำ ที่ทำเอาหลาย ๆ คนสงสัยกันว่า 2 แบรนด์นี้ มาจากดีไซน์เนอร์คนเดียวกันจริง ๆ หรือ เพราะมันดูเป็นอะไรที่ Contrast กันสุด ๆ
โดยความน่าสนใจของ Black Sugar ก็อยู่ที่จุดเริ่มต้นของมัน ซึ่งมาจากการทำ Research พฤติกรรมการใสเสื้อผ้าสีขาวดำของผู้คนในตอนที่คุณเมตอนเรียนป.โท ว่าเป็นสีที่ใส่ได้หลายโอกาส ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งปาร์ตี้ ตรงนี้เองทำให้คิดว่าขายแค่สีขาวดำ ก็เป็นอะไรที่เป็นไปได้
ในแง่ของคุณเม มันคือความชอบส่วนตัวในการใส่เสื้อผ้าสองสีนี้อยู่แล้ว แต่ในแง่ของ Marketing มันคือการกำหนด Position ที่ชัดเจนให้กับแบรนด์โดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว
“เพราะถ้าผู้คนนึกถึงเสื้อผ้าสีขาวดำ Black Sugar ก็จะเป็นหนึ่งใน Check list ของพวกเขาเช่นกัน”
ไม่ทำ Online Marketing แต่กลับพาแบรนด์ไทย ไปรันเวย์ระดับโลกได้
ก่อนจะยกกองไปสัมภาษณ์คุณเม ทีม Marketeer ได้ทำการบ้านด้วยการ Search หาข้อมูลของ Black Sugar ใน Facebook ก่อน ซึ่งก็น่าแปลกใจว่าทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยทำ Marketing Online ไม่ค่อยอัพเดทเพจ แต่ทำไมคุณเมถึงสามารถพาแบรนด์ของตัวเอง ไปเดินบนรันย์เวย์ระดับโลกที่เวียนนา ประเทศออสเตรียได้ ?
ในจุดนี้คุณเมเราให้เราฟังว่า เธอพาแบรนด์ของตัวเองไปออกบูธในงาน BIFF&BILL ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งตรงนี้เองเป็นช่องทางที่ทำให้เจ้าของเวียนนาแฟชั่นวีคมาเห็นเสื้อผ้าของ Black Sugar และชวนคุณเมไปเดินแฟชั่นโชว์ที่นั่นในที่สุด
และนอกจากจะเป็นแบรนด์เล็ก ๆ ที่ได้ไปเดินบนรันย์เวย์ระดับโลกแล้ว ก็ยังมีคนเกาหลีมาติดต่อขอซื้อ Black Sugar ไปเปิดที่ดินแดนโอปป้าอีกด้วย
เคยเห็นแต่คนไทยใส่แบรนด์ของต่างชาติ ทีนี้เราจะได้เห็นคนต่างชาติใส่แบรนด์ไทยกันบ้างแล้ว : )
จบตรีฯ อีกใบตอนอายุ 48 โทฯ ตอน 55 และยังเป็นแก้วเปล่าที่พร้อมจะเติมน้ำลงไปอยู่ตลอดเวลา
อย่างที่บอกไปในตอนต้นว่า ตั้งแต่ยังเป็นข้าราชการ คุณเมก็ใช้เวลาว่างวันเสาร์-อาทิตย์มาเรียนเกี่ยวกับแฟชั่น ตอนทำธุรกิจส่งออกเสื้อผ้าเด็กก็หาความรู้จากสถาบันสอนแฟชั่นอีก 3-4 แห่ง จนกระทั่งมาเรียนจบปริญญาตรีอีกใบตอนอายุ 48 และปริญญาโทตอนอายุ 55
ซึ่งเมื่อถามว่าทำไมคุณเมถึงไม่หยุดที่จะเรียนรู้สักที ทั้ง ๆ ที่คนอื่นในวัยเดียวกันคงคิดอยากจะอยู่บ้านพักผ่อน ใช้เงินที่ได้หลังจากเกษียณกันแบบสบาย ๆ แล้ว สิ่งที่คุณเมตอบกลับมาก็คือ
“อาจเป็นเพราะพี่เป็นคนพลังเยอะก็ได้มั้ง (หัวเราะ) พี่สนุกนะ ถ้าถามว่าทุกวันนี้มีเรียนอะไรอีก พี่ก็เอานะ เรื่องเรียนนี่ยังขยันอยู่
คืออย่าไปคิด แล้วก็อย่าไปทำตัวแก่ พี่จะไม่ยอมให้สมองตัวเองหยุดนิ่ง และก็ยังมีอะไรที่อยากทำอีกตั้งเยอะแยะ
พี่เป็นคนชอบเที่ยว ก็เลยเจอแรงบันดาลใจใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ถ้าคนอื่นเขาจะใช้คำว่าทำมาหากิน แต่สำหรับพี่ใช้คำว่าทำมาหาเที่ยวน่าจะเหมาะกว่า (หัวเราะ-หนักกว่าเดิม)”
นอกจาก Black Sugar แล้วคุณเมก็ยังคงทำแบรนด์ที่เกี่ยวกับเสื้อผ้าอยู่อีก 1 เจลแต้มสิว 1 ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสปาอีก 1 ยาย้อมผมอีก 2 รวม ๆ แล้วก็มีทั้งหมด 6 แบรนด์ ที่ล้วนแต่เกิดจากความ ‘บ้าพลัง’ ของผู้หญิงอายุ 60 คนนี้ทั้งนั้น
ทีนี้เห็นแล้วใช่ไหมละว่าสิ่งที่เป็นอุปสรรคในการทำตามความฝันไม่ใช่อายุ แต่กลับเป็นความคิดของคนซะมากกว่า
แล้วคุณละ ? คิดว่าตัวเองแก่เกินที่จะทำตามความฝันแล้วหรือยัง
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ