คาดการณ์ตลาดไก่ทอดในกลุ่ม QSR (Quick Service Restaurant) ปี 2567 เติบโต 2 หลัก จากปี 2566 ที่มีมูลค่า 20,000 ล้านบาท

ส่วนตลาด QSR รวมปีหน้าคาดการณ์เติบโตเพียง 1 หลัก จากมูลค่า 45,000 ล้านบาทในปี 2566

การเติบโตของ QSR ที่น้อยกว่าตลาดไก่ทอด ปิยะพงศ์ จิตจำนงค์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส QSR & Western Cuisine บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) ได้ให้ข้อมูลมาจากตลาดนี้มีเซกเมนต์หลักอยู่ 3 เซกเมนต์ ได้แก่ ไก่ทอด เบอร์เกอร์ และพิซซ่า

ซึ่งเบอร์เกอร์และพิซซ่าเป็นเซกเมนต์ที่มีจำนวนและการขยายสาขาที่ไม่มากนัก

ส่วนตลาดไก่ทอดเป็นการเติบโตจาก KFC ที่มีสัดส่วนในตลาดไก่ทอดมากถึง 80-90% และคาดการณ์ว่าปี 2567 KFC มีการเติบโต 2 หลัก เหมือนกับการเติบโตในปี 2566 ได้ไม่ยาก จากการมองเห็นไก่ทอดเป็นธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อีก มาจากนักท่องเที่ยวกลับมาในไทยเพิ่มมากขึ้น

ธุรกิจ KFC ในประเทศไทย เป็นธุรกิจที่มี ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชันแนล เป็นผู้บริหารแบรนด์ และมีพาร์ตเนอร์ที่รับสิทธิ์แฟรนไชส์ จำนวน 3 รายที่มีสาขารวมกัน 1,060 สาขา เพิ่มจากปีที่ผ่านมาที่มีสาขา 1,000 สาขา

โดย บริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (QSA) ในเครือไทยเบฟ เป็นแฟรนไชส์ที่มีสาขา KFC มากที่สุด ด้วยจำนวนสาขา 440 สาขา (อ้างอิง ตุลาคม 2566)

รองลงมา ได้แก่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) มีสาขาในปัจจุบัน 330 สาขา และคาดการณ์ว่าสิ้นปีจะมีจำนวนสาขา 335 สาขา

และสาขาที่เหลือเป็นของ บริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (RD)  

ซึ่ง KFC แต่ละแฟรนไชส์ มีการวางเป้าหมาย และกลยุทธ์ในการทำตลาดที่แตกต่างกันที่อยู่บนแกนหลักที่ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) ให้ไว้

สำหรับ KFC ภายใต้แฟรนไซส์ CRG ในปีที่ผ่านมาสร้างการเติบโตได้มากถึง 6,500 ล้านบาท

และคาดการณ์ปีนี้เติบโต 12-13% ด้วยมูลค่ารายได้มากกว่า 7,000 ล้านบาท

ส่วนปี 2567 CRG คาดหวังว่าจะพา KFC ในมือเติบโตได้มากกว่า 10% เช่นกัน

กลยุทธ์ของ CRG ที่จะพา ผู้พัน KFC เติบโตในปี 2567 จึงประกอบด้วย

 

1.

นำเสนอเมนูตอบโจทย์ผู้บริโภค และ Value for Money

ในปีที่ผ่านมา KFC มีการนำเมนูที่นอกเหนือจากเมนูหลัก และเมนูยอดนิยมอย่างไก่ทอด และวิงส์แซ่บ ออกมาจำหน่ายเพื่อสร้างความหลากหลาย การพูดถึง และความถี่ในการเข้ามาเป็นลูกค้า KFC เช่น การนำข้าวไก่กรอบแกงเขียวหวานกลับมาจำหน่าย จากความตั้งใจขาย 2 เดือนเป็นการขายในระยะยาว การทดลองนำเมนูหนังไก่แซ่บออกมาทดลองตลาดที่ขายหมดใน 7 วัน

รวมถึงลดราคาเมนูข้าวจาก 69 บาทเหลือ 59 บาท เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคเลือกรับประทาน KFC แทนร้านสตรีทฟู้ด จากราคาที่ไม่ต่างกันมากนัก

ส่วนปี 2567 CRG ยังคงทำร่วมกับยัมฯ และพาร์ตเนอร์ KFC อีก 2 รายที่จะนำเมนูใหม่ ๆ เข้ามาสร้างสีสันให้กับแบรนด์มากขึ้น โดยเป็นเมนูที่นำมาจาก KFC ในต่างประเทศ และเป็นเมนูโลว์คอลจาก KFC ประเทศไทย เพื่อเข้ามาดึงดูดผู้บริโภคให้เข้ามารับประทาน KFC ในความถี่ที่บ่อยขึ้น

เพราะเป้าหมายของ CRG ที่จะผลักดันรายได้ของ KFC มาจากการเพิ่มความถี่ในการเข้ามาเป็นลูกค้ามากกว่าการเพิ่มยอดออเดอร์ต่อบิล

โดยที่ผ่านมา KFC ในมือ CRG มีลูกค้าเข้ามาสั่งอาหารต่อบิลเฉลี่ย 200 บาท ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยที่เท่าเดิม และใช้เวลาอยู่กับสาขาประมาณเกือบชั่วโมง

 

2.

ขยายสาขาผ่าน 4 โมเดล พร้อมวางกลยุทธ์ นำเสนอแฟลกชิปสโตร์ใหม่ปีละ 1 แห่ง

ในปีนี้ KFC เปิดสาขาเพิ่ม 15-20 สาขา รวมทั้งสิ้น 335 สาขาในสิ้นปี 2566

และในปี 2567 มีแผนขยายสาขาเพิ่ม 15-20 สาขา ผ่าน 4 โมเดลหลัก ได้แก่

โมเดลศูนย์การค้า และไฮเปอร์มาร์เก็ต ผ่านการขยายสาขาร่วมกับเซ็นทรัล และโรบินสัน ครอบคลุมพื้นที่ทั้งเมืองหลักและเมืองรอง โดยปัจจุบัน CRG มีสาขาในโมเดลรูปแบบนี้ 200 สาขา

โมเดลไดร์ฟทรู 20 สาขา

โมเดลช็อปเอาต์ เปิดสาขาในอาคารพาณิชย์ หรือตึกแถวย่านชุมชน และอื่น ๆ 5 สาขา

และที่เหลือเป็นโมเดลสาขาในสถานีบริการน้ำมัน

วางแผนเปิดสาขาแฟลกชิปสโตร์ปีละ 1 สาขา ผ่านสาขาที่เปิดใหม่และการรีโนเวตสาขาเดิมที่มีอยู่ เพื่อสร้างประสบการณ์ในร้านให้เป็นที่สำหรับถ่ายรูป และดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย ผ่านสองรูปคอนเซ็ปต์หลัก ได้แก่ รูปแบบกรีน และรูปแบบดิจิทัล

ในปีที่ผ่านมา CRG เปิดแฟลกชิปสโตร์ในคอนเซ็ปต์ KFC Green Concept ที่สาขาราชพฤกษ์ เพื่อสื่อสารถึงคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

และปี 2566 ได้รีโนเวตสาขา KFC ที่เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นแฟลกชิปสโตร์คอนเซ็ปต์ KFC Digital Lifestyle Hub นำดิจิทัลเข้ามาให้บริการสั่งอาหาร และออกแบบร้านโดยศิลปินกราฟฟิตี้ไทย JECKS BKK หรือ รัชกร ศิรวัชรเดช เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ กลุ่มคนทำงานซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของ KFC สาขานี้

 

3.

ก้าวสู่ดิจิทัลสโตร์ และ KFC Application ที่สั่งอาหารง่ายขึ้น

ที่ผ่านมา CRG ได้นำดิจิทัล ทั้งดิจิทัลบอร์ดนำเสนอเมนูอาหาร และคีออสสั่งอาหารและชำระเงินในรูปแบบแคชเลสเข้ามาให้บริการในร้านมากกว่า 10 สาขา โดยมี 10 สาขาที่มีคีออสดิจิทัลให้บริการสั่งอาหาร และที่เหลืออยู่ในรูปแบบดิจิทัลบอร์ดมาโปรโมตเมนูของร้าน แทนป้ายเมนูที่ติดอยู่ด้านบนหลังเคาน์เตอร์สั่งอาหาร เพื่อสร้างความสะดวกสบายในการเปลี่ยนเมนู และสามารถดึงเมนูที่ไฮไลท์มานำเสนอได้อย่างรวดเร็ว

และในปี 2567 มีแผนเพิ่มสาขา KFC ให้เป็นรูปแบบดิจิทัลรวมกัน 50-60 สาขา ทั้งสาขาที่มีคีออสสั่งอาหาร และสาขาที่มีเฉพาะดิจิทัลบอร์ด

และในอนาคต CRG วางเป้าหมายว่าจะปรับเปลี่ยน KFC ที่บริหารอยู่ในมือเป็นดิจิทัลสโตร์ทั้งหมด

ซึ่งการไปดิจิทัลสโตร์เป็นนโยบายของ ยัมฯ ที่ปรับเปลี่ยนตัวเองรองรับการพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

และการขยายบริการสั่งอาหารด้วยคีออสชำระเงินผ่านแคชเลส ยังเป็นหนึ่งในแนวทางลดการใช้พนักงานหน้าร้านในระยะยาวอีกทางหนึ่ง

นอกจากนี้ ในปี 2567 ยัมฯ ยังมีการปรับโฉม KFC Application ใหม่ให้มี UX และ UI ที่ง่ายในการสั่งอาหารและรับอาหารที่หน้าร้านมากขึ้น

การปรับโฉม KFC Application ใหม่ เชื่อว่าเป็นหนึ่งที่ทำให้ KFC ในมือของ CRG เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น จากการที่ลูกค้าสั่งอาหารระหว่างเดินทางและมารับที่สาขาเพื่อไปต่อ

 

4.

พรีเมียม และกิจกรรมหน้าร้านสร้างสีสัน

ในปีที่ผ่านมา KFC มีแคมเปญที่ทำร่วมกันด้วยแจกหมวกบักเก็ตเมื่อสั่งเมนูที่กำหนด เพื่อสร้างการพูดถึงและดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาในร้านมากขึ้น

และการแจกของพรีเมียมเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ CRG มองเห็นโอกาสด้วยการนำของพรีเมียมมาแจกให้กับลูกค้าในจำนวนที่จำกัด เช่น 100 คนแรกเมื่อเปิดสาขาใหม่

อย่างเช่นแจกกระเป๋าที่ออกแบบลายโดย JECKS BKK แจกให้กับลูกค้าที่สาขาที่เซ็นทรัลเวิลด์ 100 คนแรกในวันที่เปิดให้บริการอีกครั้งหลังรีโนเวตเป็น KFC Digital Lifestyle Hub

นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะจัดกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันในร้านเพื่อสร้างการพูดถึงและประสบการณ์ที่มากกว่าการเข้ามาสั่งอาหารเพื่อรับประทาน

เช่น ที่ผ่านมามีการแจกเสื่อให้ลูกค้าเข้ามานั่งเสื่อรับประทาน KFC ในสาขาเซ็นทรัลเวิลด์หลังรีโนเวตเป็น KFC Digital Lifestyle Hub เป็นต้น และขยายไปยังสาขาอื่น ๆ

อย่างไรก็ดี ด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ ของ CRG ที่วางไว้ให้กับ KFC ปิยะพงศ์ได้คาดหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในแรงขับเคลื่อนการเติบโตให้กับธุรกิจ เพื่อสร้างรายได้ให้กับ KFC ในมือ CRG กว่า 10,000 ล้านบาทในอีก 3 ปีต่อจากนี้

 

Marketeer FYI

ตลาดอาหารในประเทศไทยปี 2566 มีมูลค่ากว่า 400,000 ล้านบาท มีการเติบโต 4-5% ในปีนี้

การเติบโตนี้มาจากการกลับมารับประทานอาหารในรูปแบบ Dine in และ Take Away ที่เพิ่มขึ้น จากผู้บริโภคออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน และการเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ส่วนปี 2567 คาดการณ์ตลาดอาหารในประเทศไทยจะเติบโตมากกว่า GDP ของประเทศเล็กน้อย การเติบโตนี้มาจากผู้บริโภคที่นิยมซื้ออาหารเพื่อรับประทานมากกว่าการปรุงอาหารรับประทานเองที่บ้าน และการเข้ามาของนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากขึ้น

ส่วนรูปแบบเดลิเวอรี แม้จะเป็นกลุ่มที่ชะลอตัวจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน แต่ยังเป็นอีกกลุ่มที่สร้างรายได้ให้กับธุรกิจอาหาร ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่อยู่กับบ้าน และต้องการรับประทานอาหารที่อยากรับประทานในช่วงเวลานั้น ๆ

สำหรับตลาดไก่ทอดในปีนี้เป็นปีที่มีการแข่งขันจากคู่แข่งทั้งแบรนด์ที่เข้ามาใหม่และแบรนด์ใหญ่ที่หันมาให้ความสำคัญธุรกิจไก่ทอด การแข่งขันนี้เป็นส่วนหนึ่งทำให้ตลาดไก่ทอดโตจากอแวเนสที่เข้าถึงผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

และ KFC มีแบรนด์อแวเนสเข้าถึงคนไทยมากกว่า 96% และมี Penetration เข้าถึงคนในประเทศ 76% ผ่าน 3 พาร์ตเนอร์ที่ให้บริการ


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer