ปลาแซลมอน กำลังเจอวิกฤตซัปพลายในวันที่โลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ

ในปัจจุบันโลกของเรากำลังเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิตของมนุษย์ในหลาย ๆ ด้าน และหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนจากภาวะโลกร้อนคืออุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตแซลมอน ซึ่งเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศทั่วโลก

ปลาแซลมอน ถือเป็นหนึ่งในอาหารที่ผู้คนทั่วโลกให้ความนิยม เนื่องจากมีรสชาติที่อร่อย และมีคุณค่าทางอาหารสูง นอกจากนี้แซลมอนเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และความสมดุลของระบบนิเวศในบริเวณแหล่งน้ำจืดและน้ำเค็ม เนื่องจากมีวงจรชีวิตที่ผูกพันอยู่กับทั้งสองแหล่งอาศัย ตั้งแต่ฟักออกจากไข่และใช้ชีวิตในระยะแรกในแม่น้ำหรือลำธาร จากนั้นจะอพยพลงสู่มหาสมุทรเพื่อเจริญเติบโตเป็นตัวโต และเมื่อถึงวัยสืบพันธุ์ก็จะว่ายน้ำกลับขึ้นไปวางไข่ยังแหล่งน้ำจืดเดิมที่ตนเองเกิด ดังนั้น การดำรงอยู่ของประชากรแซลมอนจึงเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงสุขภาพของระบบนิเวศน้ำจืดและน้ำเค็มในบริเวณนั้น ๆ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประชากรแซลมอนในธรรมชาติลดลงอย่างน่าวิตกในหลายพื้นที่ทั่วโลก สาเหตุหลักมาจากการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ มลพิษ และการประมงที่ขาดการควบคุม (จับจนเกินพอดี)  จนนำไปสู่การทำฟาร์มเพาะเลี้ยงแซลมอนขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่สูงขึ้น อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงแซลมอนจึงเติบโตอย่างรวดเร็วและกลายเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับหลายประเทศ อาทิ นอร์เวย์ ชิลี แคนาดา และญี่ปุ่น

ในปัจจุบันการทำฟาร์มแซลมอนกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อนและนำมาซึ่งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่รุนแรงและผิดแปลกไปจากเดิม สภาพอากาศที่ร้อนและแปรปรวนเหล่านี้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการทำฟาร์มเพาะเลี้ยงแซลมอน ทั้งในด้านการจัดการคุณภาพน้ำ การป้องกันโรคระบาด และการรักษาอุณหภูมิน้ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของแซลมอน หากยังไม่สามารถจัดการกับปัญหานี้ ย่อมส่งผลให้ผลผลิตแซลมอนลดลง ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงทางอาหารตามมา

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงแซลมอนเองก็ถือเป็นหนึ่งในแหล่งที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต การขนส่ง หรือการกำจัดของเสีย ดังนั้น ความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง หากต้องการให้การผลิตแซลมอนสามารถดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนในสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปนี้

โลกร้อนขึ้นมาในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โลกของเราได้พบเจอกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งเป็นผลมาจากฝีมือของมนุษย์ ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา

จากข้อมูลขององค์การบริหารจัดการด้านสภาพอากาศและบรรยากาศแห่งสหรัฐอเมริกา (National Oceanic and Atmospheric Administration: NOAA) พบว่า ในช่วงระยะเวลา 140 ปีนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1880 เป็นต้นมา อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกได้เพิ่มขึ้นประมาณ 1 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ หากพิจารณาข้อมูลย้อนหลังจะพบว่าช่วงเวลา 100 ปีที่ผ่านมานี้เป็นช่วงที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นสูงที่สุดและในอัตรารวดเร็วที่สุด

 

ในช่วงตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมาอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี: NOAA

การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกดังกล่าวมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการเพิ่มขึ้นของระดับก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศ โดยข้อมูลจาก NOAA ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน และก๊าซไนตรัสออกไซด์ในบรรยากาศมีปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 48% 165% และ 23% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

อุณหภูมิที่สูงขึ้นนำไปสู่การเกิดปรากฏการณ์สภาพอากาศรุนแรงมากขึ้น เช่น คลื่นความร้อน ภาวะแล้ง ไฟป่า พายุหมุนเขตร้อน และการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก ซึ่งเราก็มักจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับสถิติอุณหภูมิสูงสุดใหม่ ๆ ที่ถูกทำลายลงบ่อยครั้ง รวมไปถึงการเกิดพายุรุนแรงที่ผิดปกติและอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ในหลายพื้นที่ทั่วโลก

ทั้งนี้สถาบันการศึกษาและองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมชั้นนำต่างให้การเตือนภัยว่า หากมนุษยชาติไม่สามารถควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลลงได้อย่างเร่งด่วน อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกอาจจะเพิ่มสูงขึ้นอีกระหว่าง 2 ถึง 6 องศาเซลเซียส ภายในสิ้นศตวรรษนี้ ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

แซลมอนฟาร์ม

อุตสาหกรรมการผลิตปลาแซลมอนในโลกของเราทุกวันนี้กระจุกตัวอยู่ใน 4 ประเทศ ได้แก่ นอร์เวย์ แคนาดา สกอตแลนด์ และชิลี ซึ่งผลิตปลาแซลมอนรวมกันคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 96 ของโลก ส่วนอีกประมาณ 4-5% ที่เหลือมาจากออสเตรเลีย หมู่เกาะแฟโร ไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ แทสเมเนีย และสหรัฐอเมริกา

 

สัดส่วนแหล่งที่มาของสัตว์น้ำที่โลกเราบริโภคในปัจจุบัน:

การเพาะเลี้ยงปลาแซลมอนเชิงอุตสาหกรรมเริ่มขึ้นในประเทศชิลีในช่วงทศวรรษ 1970 นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชิลีก็กลายเป็นผู้ผลิตปลาแซลมอนเลี้ยงรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ในปี 2020 ชิลีประเทศเดียวผลิตปลาแซลมอนมากกว่าหนึ่งล้านตัน

นอร์เวย์เป็นผู้ผลิตปลาแซลมอนเลี้ยงรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยคิดเป็นประมาณ 55% ของซัปพลายการผลิตแซลมอนทั่วโลก ในการผลิตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของนอร์เวย์ไปที่ปลาแซลมอนแอตแลนติกเป็นหลัก

สัดส่วนการผลิตแซลมอนรายประเทศ: Researchgate

นอร์เวย์ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของแซลมอนที่สำคัญของโลกประเทศหนึ่งเลยก็ว่าได้ ถ้านับเฉพาะในปี 2020 นอร์เวย์ส่งออกปลาแซลมอนอยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 8,300 ล้านดอลลาร์  โดยมีจุดหมายปลายทางหลักสำหรับการส่งออกปลาแซลมอนนอร์เวย์ ได้แก่ สหภาพยุโรป โดยมีประเทศต่างๆ เช่น โปแลนด์ เดนมาร์ก และเนเธอร์แลนด์ เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ เช่นเดียวกับจีน ลิทัวเนีย และฮ่องกง

การเลี้ยงปลาแซลมอนนอร์เวย์เผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม โดยแนวทางการเลี้ยงปลาแซลมอนแบบเปิดซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่อประชากรปลาแซลมอนธรรมชาติ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานอร์เวย์พบว่าจำนวนปลาแซลมอนตามธรรมชาติลดลงอย่างมาก โดยจำนวนแซลมอนในธรรมชาติลดลงเหลือประมาณเพียงแค่ 530,000 ตัว สาเหตุมาจากการหลุดออกจากคอกแบบเปิด โดยมีปลาแซลมอนหลุดออกมาเฉลี่ย 200,000 ตัวต่อปี ทำให้เกิดมลภาวะทางพันธุกรรมในแม่น้ำนอร์เวย์ และส่งผลกระทบต่อสายพันธุ์ปลาแซลมอนตามแหล่งน้ำธรรมชาติกว่า 71%

 

ภาพการเพาะเลี้ยงแซลมอนในนอร์เวย์: NYTimes

นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของเหา (Sea Louse) ทะเลยังเป็นอีกข้อกังวลหลักในการเลี้ยงปลาแซลมอนนอร์เวย์ โดยการผลิตคอกแบบเปิดขนาดใหญ่ไปเพิ่มจำนวนเหาทะเลอย่างรวดเร็ว โรคระบาดเหล่านี้ส่งผลให้ปลาแซลมอนธรรมชาติตายมากกว่า 50,000 ตัวในช่วงระหว่างปี 2010 ถึง 2014  เพื่อต่อสู้กับเหาทะเล ผู้เพาะเลี้ยงปลาแซลมอนต่าง ๆ อาทิ การใช้สารเคมี การวางสายพันธุ์อื่นเพื่อกินเหา และการอาบน้ำปลาในน้ำร้อนแม้ว่าจะมีอัตราการเสียชีวิตสูงก็ตาม ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการเลี้ยงปลาแซลมอนในนอร์เวย์ขยายไปถึงการปล่อยของเสียลงสู่มหาสมุทร ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล

อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นส่งผลต่อการผลิต (ทำฟาร์ม) แซลมอนอย่างไร

อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นจากภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการทำฟาร์มเพาะเลี้ยงแซลมอน เนื่องจากแซลมอนเป็นสัตว์เลือดเย็นที่มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งถ้าหากอุณหภูมิน้ำสูงเกินไปจะส่งผลเสียต่อสุขภาพและการเจริญเติบโตของแซลมอน

 

อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นส่งผลต่อการเลี้ยงแซลมอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้: Motherjones

โดยในสภาวะอากาศปกติอุณหภูมิน้ำที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงแซลมอนจะอยู่ที่ประมาณ 12-18 องศาเซลเซียส แต่เมื่ออุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นเกินกว่า 20 องศาฯ แซลมอนจะเริ่มแสดงอาการเครียดและมีแนวโน้มการกินอาหารลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตโดยตรง นอกจากนี้ ในน้ำที่มีอุณหภูมิสูงจะมีปริมาณออกซิเจนละลายน้ำต่ำ ทำให้แซลมอนขาดอากาศหายใจและเกิดความเครียดมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่อัตราการตายที่สูงขึ้นในที่สุด

นอกจากนี้ อุณหภูมิน้ำที่สูงขึ้นยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคและพาราสไซต์ในฟาร์มแซลมอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อแบคทีเรียและปรสิตต่าง ๆ ที่มักจะแพร่พันธุ์และแพร่กระจายได้เร็วขึ้นในสภาพน้ำที่อุ่นกว่าปกติ การระบาดของโรคและพาราสไซต์เหล่านี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อฝูงแซลมอนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น ฟาร์มแซลมอนจึงต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการป้องกันและรักษาโรค การฆ่าเชื้อโรค รวมถึงการกำจัดแซลมอนที่ป่วยและตายเพื่อป้องกันการระบาด

นอกเหนือจากผลกระทบต่อสุขภาพและอัตราการรอดชีวิตของแซลมอนแล้ว อุณหภูมิที่สูงขึ้นยังส่งผลต่อคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงแซลมอนโดยตรง เนื่องจากในน้ำที่มีอุณหภูมิสูงจะมีประสิทธิภาพในการย่อยสลายและกำจัดของเสียได้น้อยลง ทำให้เกิดการสะสมของสารพิษและส่งผลเสียต่อคุณภาพน้ำในที่สุด ซึ่งฟาร์มแซลมอนเองอาจจะต้องมีการลงทุนในระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งย่อมหมายถึงต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น

เพื่อรับมือกับภาวะโลกร้อน ฟาร์มแซลมอนจึงต้องมีการปรับตัวอย่างจริงจัง แนวทางหนึ่งที่ได้รับความสนใจมากขึ้นคือการใช้ระบบหมุนเวียนน้ำ (Recirculating Aquaculture Systems) ซึ่งสามารถควบคุมอุณหภูมิและคุณภาพน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงระบบระบายความร้อนและการจัดการน้ำเสียให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการปรับเปลี่ยนสายพันธุ์แซลมอนที่สามารถทนทานต่ออากาศร้อนได้ดีกว่าสายพันธุ์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นมาตรการเชิงรุกในระยะยาวเพื่อปรับปรุงความสามารถในการผลิตแซลมอนให้เหมาะสมกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป

ทางเลือกในการจัดหา ปลาแซลมอน อย่างยั่งยืน

นอกเหนือจากการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีทางเลือกอื่น ๆ ในการจัดหาแซลมอนอย่างยั่งยืน ได้แก่ การส่งเสริมการประมงแซลมอนแบบดั้งเดิมและการจัดการประมงอย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยรักษาสมดุลของประชากรแซลมอนในธรรมชาติ

นอกจากนี้ การผลิตแซลมอนจากระบบเกษตรกรรมผสมผสาน (Integrated Farming Systems) ซึ่งเป็นการเลี้ยงแซลมอนร่วมกับการปลูกพืชในระบบเดียวกัน ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรและลดของเสีย อีกทั้งยังมีการพัฒนาและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ทดแทนแซลมอน เช่น ปลาชนิดอื่น ๆ หรือโปรตีนจากพืช ซึ่งอาจเป็นแนวทางเพื่อตอบสนองความต้องการโปรตีนของมนุษย์ในระยะยาว

ถึงแม้ว่าอุตสาหกรรมแซลมอนจะต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมากจากภาวะโลกร้อน แต่ก็ยังพอมีวิธีการในการรับมือและปรับตัวแต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้ผลิต นักวิจัย ผู้บริโภค และหน่วยงานกำกับดูแล รวมไปถึงการลดการทำลายความสมดุลด้านอุณหภูมิของโลก เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการผลิตแซลมอนจะสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืนในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อที่เราจะยังคงมีแซลมอนไว้บริโภคในราคาที่ไม่สูงจนเกินไปจากผลกระทบของการลดลงของการผลิตแซลมอน ♦


เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ


แหล่งอ้างอิงข้อมูล

https://www.epa.gov/climateimpacts/climate-change-impacts-ocean-and-marine-resources

https://theconversation.com/salmon-farms-are-in-crisis-heres-how-scientists-are-trying-to-save-them-94538

https://www.motherjones.com/environment/2023/07/salmon-fish-farming-aquaculture-environmental-hazards-patagonia-chile/

https://nasf.is/en/norway/

 

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer