Hydrox ทำความรู้จักคุกกี้ต้นแบบของ Oreo ที่ถึงแม้จะมาก่อน แต่สุดท้ายต้องพ่ายแพ้

รู้หรือไม่ ก่อนหน้าแบรนด์คุกกี้ Oreo (โอริโอ้) จะออกมาวางจำหน่ายนั้น มีแบรนด์คุกกี้ Hydrox (ไฮโดรกซ์) อยู่เบื้องหลังแบรนด์ Oreo (โอริโอ้) มาก่อน

แน่นอนว่า Oreo เป็นหนึ่งในแบรนด์อเมริกันเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 100 ปี และมียอดขายหลายหมื่นล้านบาทต่อปี แต่แท้จริงแล้ว Oreo เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Hydrox ที่ผลิตขึ้นก่อนหน้า Oreo 4 ปี

มารู้จักกับความเป็นมาของแบรนด์ Hydrox กันเถอะ

แบรนด์Hydroxเริ่มต้นขึ้นในปี 1866 เมื่อ Jacob Loose (เจคอบ ลูส) ตัดสินใจเริ่มทำงานในร้านสะดวกซื้อ หลังออกจากการศึกษาในชั้นมัธยม เพื่อเก็บเงินเปิดร้านเป็นของตัวเอง

4 ปีต่อมา Jacob Loose สามารถทำตามความฝันได้สำเร็จ แต่เขาก็ไม่ได้หยุดนิ่ง เขาวางแผนที่จะเปิดธุรกิจใหม่ ๆ อย่างอุตสาหกรรมเบเกอรี่ เขาจึงไม่ลังเลที่จะซื้อกิจการเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่วางจำหน่ายบิสกิตและลูกอมมาก่อน

ภาพ Jacob Loose

นอกจากนี้ เขายังได้เชิญชวน Joseph Loose (โจเซฟ ลูส) น้องชายของเขาเข้าร่วมกิจการมาเป็นพาร์ตเนอร์คู่หูทางธุรกิจด้วยกัน ก่อนที่จะตั้งชื่อบริษัทว่า Loose Brothers เพื่อดำเนินกิจการต่อไป

ในไม่ช้าขนมของพวกเขาก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า พวกเขาจึงวางแผนให้ธุรกิจเติบโตมากยิ่งขึ้น โดยในขณะนั้นการควบรวมบริษัท (Conglomerate) กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มธุรกิจน้ำมันและพลังงาน สองพี่น้องเลยสนใจสร้างกลุ่มธุรกิจเช่นนี้ แม้ในตอนนั้นจะไม่เคยมีใครทำในอุตสาหกรรมเบเกอรี่มาก่อน

ภาพ Adolphus Green

ทั้งสองตัดสินใจจ้าง Adolphus Green (อดอล์ฟ กรีน) นักกฎหมายชื่อดังให้มาเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายและการควบรวมกิจการ หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็สามารถรวบรวมกิจการเบเกอรี่ได้มากกว่า 30 ร้าน ก่อนที่จะรวมตัวกันแล้วตั้งชื่อบริษัทว่า American Biscuit

แน่นอนว่าบริษัท American Biscuit สามารถดำเนินไปได้ด้วยดีและประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดด จนทำให้มีบริษัทสองสามแห่งทำตามโมเดลธุรกิจรวมกิจการเช่นนี้เหมือนกัน ในไม่ช้าก็เกิดการแข่งขันในตลาดขึ้น ส่งผลให้ราคาคุกกี้ลดลงกว่า 40% ในปี 1890 สิ่งนี้ได้ทำให้บริษัท American Biscuit ของพวกเขาเกือบล้มละลาย

ไม่เพียงวิกฤตนี้ที่พวกเขาต้องเผชิญเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน Jacob Loose ก็ถูกโหวตให้ออกจากตำแหน่งประธานบริหาร เนื่องจากเขามีอาการป่วยหนักจนต้องรักษาอยู่ระยะหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ Joseph Loose จึงทำหน้าที่แทนพี่ชายและคิดแก้ไขปัญหาราคาคุกกี้ให้เพิ่มมากขึ้นในท้องตลาด ด้วยการควบรวมบริษัททั้งหมดเข้าด้วยกัน

ทว่าความคิดนี้กลับไม่ได้รับการยอมรับจาก Jacob Loose เนื่องจากเขาคิดว่าอาจมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ แต่ Joseph ไม่สนใจและเดินหน้าควบรวมกิจการต่อไป โดยได้ Adolphus Green ทนายความคนเดิมมาช่วยจัดการด้านต่าง ๆ ให้ จนในปี 1898 พวกเขาก็รวมบริษัทสำเร็จ และใช้ชื่อว่า National Biscuit Company ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น Nabisco ในภายหลัง

แต่ความสำเร็จในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้ Joseph Loose ดีใจแต่อย่างใด เพราะเขาพบว่าพวกเขาสองพี่น้องไม่มีอำนาจบริหาร แต่กลับเป็นทนายของเขาแทน พวกเขาจึงรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง และพยายามหาทางสู้ให้ได้

 

ก้าวเข้าสู่ยุคของคุกกี้แซนด์วิชไส้ครีม

ต่อมา สองพี่น้องได้ร่วมมือกับ John Wiles (จอห์น ไวล์ส) นักธุรกิจผู้มีประสบการณ์คนหนึ่ง เพื่อก่อตั้ง Loose-Wiles Biscuit บริษัทใหม่ที่จะมาสู้กับ Nabisco ในปี 1902

ในคราวนี้พวกเขาคิดกลยุทธ์ใหม่ที่จะนำมาสู้บริษัทยักษ์ใหญ่ ด้วยการมีสินค้าเด่นที่จะสามารถสร้างยอดขายได้เป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นขนมคุกกี้ยังไม่ได้รับความนิยมในหมู่คนทั่วไป เพราะมีราคาแพง ประกอบกับในบริษัท Nabisco ยังไม่มีคุกกี้ออกมาวางจำหน่าย ดังนั้น พวกเขาจึงทุ่มเทคิดค้นสูตรคุกกี้ที่อร่อยและราคาไม่แพงสำหรับทุกคน

ด้วยการนำช็อกโกแลตซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ได้รับความนิยมสูงในสมัยนั้น มาเป็นจุดเด่นให้กับสูตรคุกกี้ของพวกเขา เนื่องจากคุกกี้ในท้องตลาดทั่วไปในตอนนั้นมีเพียงคุกกี้ที่ทำมาจากน้ำตาลและเนยเท่านั้น นอกจากนี้ เขายังได้ทำคุกกี้ให้เป็นรูปแบบแซนด์วิชสอดไส้ครีม เพื่อเพิ่มจุดเด่นอีกอย่างหนึ่ง รวมไปถึงการทำลายดอกไม้ให้กับคุกกี้เพื่อสร้างเอกลักษณ์เฉพาะ

ในไม่ช้าพวกเขาก็สามารถผลิตHydroxคุกกี้แซนด์วิชรสช็อกโกแลตสอดไส้ครีมได้สำเร็จ ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้เป็นสินค้าซิกเนเจอร์ของบริษัทตั้งแต่ปี 1908 ปีแรกที่เริ่มวางขาย

ตั้งแต่เปิดตัวHydroxบริษัทก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว และสามารถดึงส่วนแบ่งการตลาดมาจาก Nabisco ได้สำเร็จ และแน่นอนว่า Adolphus Green ก็ไม่ยอมแพ้ เขาจึงได้ผลิตคุกกี้เลียนแบบมาแข่งกับบริษัท Loose-Wiles Biscuit โดยใช้ชื่อว่า Oreo

ในช่วงที่ Oreo เริ่มวางขายในปี 1912 คุกกี้ Hydrox ก็เป็นหนึ่งในขนมที่ได้รับความชื่นชอบและความนิยมสูงสุดในสหรัฐอเมริกา จนถึงขั้นได้รับฉายาว่าเป็น ราชาแห่งคุกกี้ ส่งผลให้บริษัท Loose-Wiles Biscuit ประสบความสำเร็จและเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง พวกเขาสามารถขยายกิจการเปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น และกลายเป็นบริษัทขนมที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในสหรัฐอเมริกา รองจากบริษัท Nabisco เท่านั้น

แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขก็อยู่ไม่นาน บริษัท Loose-Wiles Biscuit ต้องเผชิญกับวิกฤตอีกครั้งหลังจากสองพี่น้องเสียชีวิตลงด้วยวัยชราในปี 1922 และปี 1923 ทำให้ John Wiles นักธุรกิจพาร์ตเนอร์ของบริษัทต้องดำเนินกิจการคนเดียว

ซึ่งในช่วงเวลานั้นบริษัท Nabisco ต้องการให้ Oreo เอาชนะHydroxให้ได้ จึงศึกษาตลาดและค้นพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อ Oreo ไปมักจะทำการบิดคุกกี้เป็นสองชิ้นก่อนรับประทาน ทำให้บริษัทนำพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้ามาเป็นโฆษณา “บิด ชิมครีม จุ่มนม” ที่ประสบความสำเร็จและคุ้นหูจนมาปัจจุบัน ความสำเร็จนี้ทำให้ Oreo ได้รับความนิยมสูงขึ้น จนค่อย ๆ แย่งยอดขายของHydroxได้สำเร็จ

การแข่งขันของทั้งสองเริ่มดุเดือดขึ้น แต่โชคกลับไม่เข้าข้างบริษัท Loose-Wiles Biscuit เพราะในปี 1941 John Wiles ผู้ร่วมก่อตั้งคนสุดท้ายก็เสียชีวิตลงเช่นกัน ทำให้รองประธานบริษัทในตอนนั้นขึ้นมาดูแลแทน

เขาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Sunshine และเน้นการโปรโมตHydroxว่าเป็นสินค้าออริจินอลเพื่อเป็นการพลิกเกมการตลาด ในขณะที่บริษัท Nabisco เน้นการโปรโมตรสชาติและคุณภาพ ส่งผลให้หลายคนสับสนว่าHydroxเป็นสินค้าเลียนแบบมากกว่า และในที่สุด Oreo ก็กลายเป็นคุกกี้ที่มียอดขายมากกว่าHydrox

เรื่องราวพลิกผันของ Hydrox

เมื่อสถานการณ์ย่ำแย่ บรรดาผู้บริหารบริษัท Sunshine จึงได้ขายกิจการให้กับบริษัท American Tobacco และถูกเปลี่ยนมืออยู่บ่อยครั้ง จนมาถึงในช่วงที่ Keebler เป็นเจ้าของ

บริษัท Keebler เล็งเห็นโอกาสในการขาย จึงพยายามกอบกู้ด้วยการปรับสูตรขนมและเปลี่ยนชื่อจากHydroxเป็น Droxies แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถสร้างยอดขายได้สำเร็จ เนื่องจากการทำการตลาดของ Nabisco ที่ทำให้ชื่อของ Oreo เป็นที่จดจำของผู้คนได้ในวงกว้าง

ยอดขายจึงตกลงเรื่อย ๆ จนเหลือเพียงแค่ 4.2% หรือราว 16 ล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับ Oreo ที่มีรายได้ถึง 374 ล้านดอลลาร์ในปี 1998

หลังจากนั้นไม่นานบริษัท Keebler ถูกซื้อกิจการโดย Kellogg’s ในปี 2001 จึงมีการเปลี่ยนแปลงภายในเกิดขึ้น ส่งผลให้Hydroxต้องเลิกผลิตไป

หลังจากที่เลิกผลิต บรรดาลูกค้าที่ชื่นชอบรสชาติและคุณภาพของHydroxต่างก็รู้สึกเสียดายและอยากให้กลับมาวางขายอีกครั้ง

Ellia Kassoff

ในที่สุดโชคก็มาหา เมื่อ Ellia Kassoff (เอลเลีย คาสซอฟ) หนึ่งในผู้ที่อยากให้Hydroxกลับมาวางขายอีกครั้ง ตัดสินใจทำการเจรจาขอซื้อเครื่องหมายการค้าของมาจาก Kellogg’s ผ่านบริษัท Leaf Brands

หลังจากเจรจาสำเร็จในปี 2014 เขาก็ทำการค้นหาสูตรขนมดั้งเดิม โดยติดต่อไปยังอดีต CEO และอดีตหัวหน้าฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัท Sunshine ที่เป็นผู้ผลิตHydroxรสชาติดั้งเดิม รวมไปถึงติดต่อนักวิทยาศาสตร์อาหารเพื่อช่วยกันรื้อฟื้นสูตรต้นตำรับอีกด้วย

ในปีถัดมา บริษัท Leaf Brands ก็สามารถวางขายHydroxรสชาติดั้งเดิมเหมือนตอนเริ่มผลิตได้สำเร็จ แต่ก็ไม่สามารถกลับมาสู้ Oreo ที่สามารถครองใจผู้คนมาได้อย่างยาวนาน ถึงแม้ว่าHydroxจะได้รับความสนใจจากร้านค้าหลายพันร้านทั่วสหรัฐอเมริกา และสามารถทำยอดขายเติบโตได้อย่างต่อเนื่องก็ตาม

ทําไมคุกกี้ Hydrox ถึงแพ้ Oreo ทั้ง ๆ ที่เป็นคุกกี้ตัวแรกที่ออกสู่ตลาด ?

สาเหตุที่ Oreo ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคนั้นมาจากการที่บริษัท Nabisco ทำการตลาดและศึกษาพฤติกรรมของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสูตรHydroxและหยุดการผลิตไปช่วงหนึ่ง ทำให้ Oreo สามารถเป็นผู้นำได้สำเร็จ

นอกจากนี้ ชื่อแบรนด์Hydroxยังคล้ายกับชื่อกลุ่มยาและสารเคมี ทำให้บริษัท Keebler พยายามเปลี่ยนชื่อคุกกี้เป็น Droxies ในช่วงหนึ่งนั่นเอง


เรื่อง : ภริดา มุทิตาภรณ์


ที่มา:

https://www.atlasobscura.com/articles/hydrox-cookies-oreo

https://www.mashed.com/223360/the-strange-history-of-the-oreo-and-hydrox-cookie-rivalry/

https://en.wikipedia.org/wiki/Hydrox

https://www.foodrepublic.com/1292651/hydrox-oreo-creme-cookie-history/

View at Medium.com

https://tedium.co/2017/05/09/hydrox-oreo-competition-history/

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer