สรุป 4 ข้อ ‘เกณฑ์ใหม่ประกันรถยนต์อีวี’ เงื่อนไขใหม่ ๆ มีอะไรบ้าง ผู้บริโภคต้องทำการบ้านอย่างไรก่อนเลือกซื้อประกัน ทั้งนี้ Priceza Money เผย ‘บังคับระบุชื่อผู้ขับขี่’ เตรียมขยายผลไปยังประกันภัยรถยนต์ทุกชนิดในอนาคต หลังนำร่องในกลุ่มอีวีเรียบร้อย
วันที่ 1 มิถุนายน 2024 ‘เกณฑ์ใหม่ประกันรถยนต์อีวี’ เริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการกับธุรกิจประกันภัยรถยนต์ในประเทศไทย ทำให้ผู้บริโภคที่เป็นเจ้าของรถยนต์อีวีต้องปรับตัวกันครั้งใหญ่
มาร์เก็ตเธียร์ ชวน ‘คุณสิรวิชญ์ ฉายะวาณิชย์’ Head of Priceza Money เว็บไซต์เปรียบเทียบราคาประกันรถยนต์ และ Insurance Content Creator ในเครือ Priceza มาสรุปเงื่อนไขใหม่ ๆ ทั้งหมดของเกณฑ์ใหม่ประกันรถยนต์อีวี ผ่าน 4 ข้อแบบเข้าใจง่าย หลังหลาย ๆ คนที่เคยเห็นผ่านตากันมาบ้างอาจจะยังไม่เข้าใจ และมีคำถามบางเงื่อนไข
ก่อนพบกันแบบจัดเต็มกับผู้บริหารและคนทำงานคุณภาพในวงการประกันภัยที่จะมานั่งเล่าเกณฑ์ใหม่ประกันรถยนต์อีวีผ่านหลากหลายมิติในงานสัมมนา ‘InsureX FORUM 2024 Insurance Technology & Marketing ครั้งที่ 1’ ในหัวข้อไฮไลท์ ‘Future of EV Insurance อนาคตของประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าอีวี’ วันที่ 26 มิ.ย. 2024 ณ ห้องออดิทอเรียมที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค
1. หลังใช้ ‘เกณฑ์ใหม่ประกันรถยนต์อีวี’ ราคาประกันจะถูกลง?
ต้องบอกกันตรง ๆ เลยว่า จุดมุ่งหมายหลักของ ‘เกณฑ์ใหม่ประกันรถยนต์อีวี’ ในครั้งนี้ ‘ไม่ได้มุ่งที่จะทำให้ประกันรถยนต์ไฟฟ้าถูกลงตั้งแต่ปีแรก’ แต่มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ประกันรถยนต์ไฟฟ้า ‘ถูกลงสำหรับคนที่มีประวัติการขับรถดีแบบต่อเนื่อง’
เนื่องจากเงื่อนไขข้อหนึ่งที่ถูกกำหนดมากับเกณฑ์ใหม่ คือ ‘ส่วนลดพฤติกรรมการขับขี่’ โดยส่วนลดตัวนี้จะถูกกำหนดว่า ถ้าในปีแรกคนขับคนไหนที่ไม่ได้มีการ ‘เคลมประกันแบบเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายประมาทเลย’ จะทำให้ได้รับ ‘ส่วนลดพฤติกรรมการขับขี่’ ในปีต่อ ๆ ไป
ส่วนลดพฤติกรรมการขับขี่
– ไม่มีชนเป็นฝ่ายผิดหรือประมาท 1 ปี ปีต่อไปลด 10%
– ไม่มีชนเป็นฝ่ายผิดหรือประมาท 2 ปีติดต่อกัน ปีต่อไปลด 20%
– ไม่มีชนเป็นฝ่ายผิดหรือประมาท 3 ปีติดต่อกัน ปีต่อไปลด 30%
– ไม่มีชนเป็นฝ่ายผิดหรือประมาท 4 ปีติดต่อกัน ปีต่อไปลด 40%
นอกจากนี้ รถแต่ละคันก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับ ‘ส่วนลดประวัติดี’ เพิ่มอีก 40% เท่ากับว่าถ้าหากไม่มีชนเลยเป็นระยะเวลา 4 ปีติดต่อกัน ผู้ทำประกันมีสิทธิ์จะได้รับส่วนลด 40% + 40% ได้เลย
ตัวอย่างเช่น
เบี้ยประกันภัยปกติราคา 20,000 บาท และ ไม่มีประวัติการชนเลยตลอด 4 ปีติดต่อกัน
จะได้รับส่วนลดราคาจาก ‘ส่วนลดพฤติกรรมการขับขี่’ ลดไป 40%
20,000 บาท – 40% = 12,000 บาท
และนำไปลดจาก ‘ส่วนลดประวัติดี’ เพิ่มอีก 40%
12,000 บาท – 40% = 7,200 บาท
เท่ากับเราจะจ่ายเบี้ยเพียงแค่ 7,200 บาท จากราคาเต็ม 20,000 บาท
2. ลดความคุ้มครองแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ากรณีไหนบ้าง?
หลาย ๆ คนน่าจะทราบอยู่แล้วว่าใน เกณฑ์ใหม่ หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา มีความเสี่ยงว่าประกันรถยนต์จะรับผิดชอบความเสียหายของแบตเตอรี่รถของเราแค่ ‘บางส่วน’
แต่นั่นอาจจะเป็นความเข้าใจเพียงส่วนเดียว เพราะการ ‘ลดความคุ้มครองแบตเตอรี่’ จะถูกแบ่งการเกิดอุบัติเหตุออกเป็น 2 กรณีคือ
1. ชนจนแบตเตอรี่เสียหายจนต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ทั้งลูก
2. ชนแบตเตอรี่แต่สามารถซ่อมได้
กรณีที่ 1. แบบนี้จะถูกนำการ ‘ลดความคุ้มครองแบตเตอรี่’ มาใช้ โดยคำนวณค่าเสื่อมลดลงไปปีละ 10% (ลดสูงสุดเหลือ 50%)
– โดยเราสามารถ ‘ซื้อความคุ้มครองแบตเตอรี่เพิ่ม’ เพื่อไม่ให้ลดความคุ้มครองได้ในราคาหลักร้อยเท่านั้น (ในปีแรก ๆ )
– และหากบริษัทประกันนำแบตเตอรี่ก้อนที่เปลี่ยนออกไปขายทอดตลาดได้ เราจะได้รับส่วนแบ่งตามสัดส่วนที่เราต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ (10-50%)
กรณีที่ 2. ชนแบตเตอรี่แต่สามารถซ่อมได้ หากเกิดอุบัติเหตุแบบนี้บริษัทประกันจะรับผิดชอบค่าซ่อมเต็ม 100% ไม่มีการลดความคุ้มครองใด ๆ
3. บังคับระบุชื่อผู้ขับขี่ จำเป็นแค่ไหน ทำไมต้องทำ?
การทำประกันภัยรถยนต์แบบระบุผู้ขับขี่ก่อนหน้านี้จะเป็น ‘ตัวเลือก’ ที่ทุกคนสามารถเลือกหรือไม่เลือกระบุผู้ขับขี่ก็ได้ แต่สำหรับเกณฑ์ใหม่จะเป็นการ ‘บังคับ’ ระบุผู้ขับขี่เท่านั้น
โดยเหตุผลที่ต้องบังคับระบุผู้ขับขี่ นั่นก็เป็นเพราะผู้ออกเกณฑ์ใหม่นี้ ต้องการที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลและประวัติการขับขี่ ของผู้ขับรถยนต์อีวี ‘ทุกคน’ เพื่อที่จะนำไปใช้เป็น ‘ส่วนลดพฤติกรรมการขับขี่’ ในอนาคตได้
และถ้าหากใครเลือกที่จะ ‘ไม่ระบุผู้ขับขี่ หรือให้ผู้ที่ไม่ได้ระบุชื่อไว้เป็นคนขับรถ’ แล้วเกิดอุบัติเหตุเป็นฝ่ายผิด จนต้องเคลมกับประกันขึ้นมา จะสามารถเคลมได้ แต่จะต้องจ่ายเงินค่าเสียหายส่วนแรกก่อนจำนวน 6,000 บาทก่อนที่บริษัทประกันจะเคลมให้
นอกจากนี้ ยังได้ข่าวแว่ว ๆ มาด้วยว่า การบังคับระบุชื่อผู้ขับขี่อาจจะเริ่มทดลองใช้กับประกันภัยรถยนต์อีวีก่อน และจะขยายผลไปยังประกันภัยรถยนต์ทุกชนิดในอนาคตได้
4. ‘ข้อผิดพลาดของ Software’ ประกันไม่รับผิดชอบกรณีไหนบ้าง?
โดย ‘ข้อผิดพลาดของ Software ประกันไม่รับผิดชอบกรณีไหนบ้าง?’ แบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้
1. กรณีเกิดอุบัติเหตุจากความผิดพลาดของ Software เนื่องจากมีการตกแต่งหรือดัดแปลง แบบนี้ ‘ประกันรถยนต์ไม่คุ้มครอง’
ขยายความคือ กรณีที่เจ้าของรถเอารถไปปรับแต่งหรือดัดแปลง Software ต่าง ๆ แล้วส่งผลให้ระบบการควบคุมรถหรือระบบการขับใด ๆ (รวมถึงระบบ Auto-pilot) เกิดขัดข้องจนเกิดอุบัติเหตุ และบริษัทประกันสามารถพิสูจน์ได้ แบบนี้ประกันรถยนต์จะ ‘ไม่คุ้มครอง’ หรือ ‘ยกเว้นความคุ้มครอง’
ตัวอย่างเช่น
– เอารถไป Jailbreak โปรแกรม Multi-media หรือ โปรแกรม Software อื่น ๆ
– รถโดน Hack ระบบจากปัจจัยภายนอก (Cyberbreach)
2. กรณีเกิดอุบัติเหตุจากความผิดพลาดของ Software เนื่องจากความผิดพลาดของผู้ผลิตหรือผู้จำหน่าย แบบนี้ ‘ประกันรถยนต์คุ้มครอง’
ขยายความคือ กรณีที่เกิดข้อผิดพลาดของ Software จนเกิดอุบัติเหตุ โดยที่เจ้าของรถไม่ได้นำไปปรับแต่งหรือดัดแปลงอะไรเพิ่มเติม และพิสูจน์ได้ว่าข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นเกิดจากความขัดข้องของผู้ผลิตหรือผู้จำหน่าย หากเกิดอุบัติเหตุบริษัทประกันจะคุ้มครอง และจะไปเรียกค่าเสียหายจากฝั่งของผู้ผลิตหรือผู้จำหน่าย
ตัวอย่างเช่น
– ระบบช่วยขับขัดข้องมาตั้งแต่กระบวนการผลิต (เสียมาตั้งแต่โรงงาน)
– อัปเดต Software จากผู้ผลิตแล้วเกิดขัดข้องจนเกิดอุบัติเหตุ
–
