Trend/ทั้งที่ไม่ใช่ประเทศใหญ่และประชากรก็มีอยู่เพียงเกือบ ๆ 5 ล้านคน แต่ นอร์เวย์ก็เป็นที่รู้จักบนเวทีโลกพอสมควร ด้วยการเป็นแหล่งปลาแซลมอนชั้นดี และดินแดนปรากฏการณ์อาทิตย์เที่ยงคืน

นอกจากนี้ ยังเป็นบ้านเกิดของ A-ha วงดังยุค 80 เจ้าของเพลง Take On Me ส่วนในอุตสาหกรรมพลังงานนี่คือประเทศมั่งคั่งทางก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน สามารถทำเงินเข้าคลังจากการส่งออกทรัพยากรทั้งสองนี้ได้มหาศาลในแต่ละปี

ทั้งที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่มประเทศส่งออกน้ำมัน (OPEC) ล่าสุดนอร์เวย์สร้างชื่อบนเวทีโลกได้อีกครั้ง ในเรื่องรถอีวี

ข้อมูลจาก OFV หน่วยงานอิสระในนอร์เวย์เพื่อประโยชน์และความปลอดภัยบนท้องถนน เผยว่า ปี 2024 จำนวนรถพลังงานไฟฟ้าหรืออีวีที่จดทะเบียนในประเทศ อยู่ที่ 754,303 คัน แซงหน้ารถใช้น้ำมัน

ซึ่งอยู่ที่ 753,905 คันเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้ จำนวนรถประเภทหลังยังลดลงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย โดย ออยวินด์ โซลเบิร์ก ธอร์เซน ผู้อำนวยการ OFV กล่าวว่านี่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญ

ท่ามกลางการคาดหมายว่า แผนยุติการซื้อ-ขายรถใช้น้ำมันในประเทศภายในปี 2025 น่าสำเร็จได้ตามเป้า

หมุดหมายสำคัญดังกล่าวมีที่มาน่าสนใจ ใช้เวลาเดินทางหลายทศวรรษ เกิดจากความร่วมมือของเหล่าคนแคร์โลกที่มีวงดังสุดของประเทศเป็นหัวหอก และต้องใช้ความกล้าแบบอริยะขัดขืนอีกด้วย 

นอร์เวย์เริ่มค้นพบน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในแถบทะเลเหนือ ช่วงยุค 60 แต่จากการเป็นประเทศเล็ก พลังงานทั้งสองจึงเกินความต้องการใช้ในประเทศนี้ และหันไปเน้นส่งออกเป็นหลัก

เมื่อเวลาล่วงไปรายได้จากส่งออกทรัพยากรพลังงานทั้งสองนี้ไม่ใช่แค่ช่วยหล่อเลี้ยงประเทศเท่านั้น แต่ยังพัฒนาการกลายเป็นรายได้หลักที่สร้างความมั่งคั่งให้ประเทศอีกด้วย

จนนอร์เวย์เป็นประเทศที่มีรายได้จากการส่งออกน้ำมันมหาศาล ทั้งที่อยู่นอกกลุ่ม OPEC ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนด้านพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานขับเคลื่อนยวดยานพาหนะก็มาถึง โดยในปี 1989 กลุ่มผู้ที่เห็นว่ารถพลังงานไฟฟ้าดีต่อสิ่งแวดล้อม ได้ไปยังงานแข่งรถพลังงานไฟฟ้า Tour de Sol สวิตเซอร์แลนด์

คนกลุ่มนี้สั่งซื้อรถ Fiat แบบ 5 ประตูขนาดกะทัดรัดรุ่น Panda ที่ดัดแปลงจากรถใช้น้ำมันเป็นรถไฟฟ้ามาคันหนึ่ง และนำมาใช้กันในชีวิตประจำวัน โดยไม่ยอมจ่ายภาษี ภายใต้ข้ออ้างที่ว่าดีต่อสิ่งแวดล้อมจนเป็นข่าวขึ้นมา

ข่าวของคนกลุ่มนี้ดังขึ้นไปอีกหลังสมาชิกทั้งสามของวง A-ha ร่วมด้วย ผ่านภาพทั้งวงถ่ายรูปกับรถคันดังกล่าว แม้ขณะนั้นเทคโนโลยียังไม่เอื้อ ทำให้ต้องชาร์จไฟนานถึง 2 วัน และแล่นไปได้ไกลเพียง 45 กิโลเมตรเท่านั้นก็ตาม  

การกระทำอริยะขัดขืนดังกล่าวสอดคล้องกับความต้องการผลักดันนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของ โกร บรุนด์แลนด์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ซึ่งเคยรับตำแหน่งประธานหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติพอดี

ทำให้ปี 1990 รัฐบาลนอร์เวย์ของนายกฯ หญิงคนนี้เริ่มยกเว้นภาษีนำเข้ารถที่ไม่ปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ พร้อมการผลักดันนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และตลอดยุค 90 ก็เพิ่มนโยบายจูงใจให้คนในประเทศใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น ๆ

โดยมีการผลิตรถอีวีขนาดเล็กแบรนด์ Think สำหรับใช้ในประเทศเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญ

ข้ามมายุค 2000 นโยบายจูงใจให้ประชาชนใช้รถอีวียังคงดำเนินต่อมาพร้อมมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง จนเป็นเหมือนการส่งไม้ต่อกันของรัฐบาลชุดต่าง ๆ ไม่ว่าพรรคไหนจะได้แกนนำจัดบริหารประเทศก็ตาม  

เช่น การให้รถอีวีวิ่งในเลนของรถประจำทางได้ในปี 2003 ต่อด้วยกำหนดให้จุดชาร์จรถอีวีเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานของเทศบาลเมืองต่าง ๆ ในปี 2008 และการให้รถอีวีขึ้นเรือขนานยนต์ข้ามฟากได้ฟรีในปี 2009

ถัดจากนั้นเมื่อค่ายรถผลิตรถอีวีออกมาก็ต้องมาเปิดตัวในนอร์เวย์อยู่เสมอ เช่น การเปิดตัวรถ Nissan รุ่น Leaf และ Mitsubishi รุ่น i-MiEV ในปี 2001 ต่อด้วยรถ Tesla รุ่น S ในปี 2013

พอเวลาล่วงมาจำนวนรถอีวีในนอร์เวย์ก็ทยอยเพิ่มขึ้นจนปี 2015 มีรถอีวีที่จดทะเบียนเพิ่มเป็น 50,000 คัน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่รัฐบาลนำเงินจากการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมาตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ

ไปลงทุนในกิจการอื่น ๆ เพื่อให้เงินงอกเงย และกันไม่ให้เศรษฐกิจของประเทศพึ่งพาน้ำมันมากเกินไปจนส่งผลเสีย แบบที่เคยเกิดขึ้นกับเนเธอร์แลนด์ในยุคหนึ่ง ซึ่งเรียกกันในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ว่าโรคดัตช์ 

เงินจากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติยังนำมาใช้ผลักดันนโยบายที่เกี่ยวกับรถอีวี ทั้งการขยายจุดชาร์จ กระตุ้นให้ประชากรหันมาใช้รถอีวี และชดเชยภาษีที่ภาครัฐบาลไม่ได้จากรถอีวี

จนรวมไปถึงค้นหาและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดอื่น ๆ เช่น จากลม และน้ำ หรือแม้กระทั่งขุดแร่ใต้ทะเลที่จำเป็นต่อการผลิตรถอีวีอีกด้วย

เมื่อนำทั้งหมดที่กล่าวมานี้มารวมกันเข้า ปัจจุบันนอร์เวย์จึงเป็นประเทศที่มีจำนวนรถอีวีต่อสัดส่วนประชากรสูงสุดในโลก และ 9 ใน 10 รถที่จดทะเบียนใหม่ในประเทศเป็นรถอีวี

ขณะที่จุดชาร์จก็มีให้เห็นทั่วไป โดยแค่กรุงออสโลเมืองเดียวก็มีมากถึง 2,000 จุด และรถอีวียังไม่ต้องเสียค่าจอดอีกด้วย

นี่ทำให้อีกไม่กี่ปีจากนี้นอร์เวย์จะเป็นประเทศแรกที่รถที่ซื้อขายในประเทศจะมีแต่รถอีวี ล้ำหน้าประเทศอื่น ๆ ในยุโรป ตามเป้าหมายของสหภาพยุโรปกำหนดไว้ในปี 2035

และยังสามารถเป็นต้นแบบความสำเร็จในการผลักดันนโยบายรถอีวีให้ประเทศอื่น ๆ ได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของรถอีวีในนอร์เวย์ กลับตรงกันข้ามกับสถานการณ์ในยุโรป เพราะเมื่อปี 2023 ยอดขายรถอีวีทั่วทวีปยุโรปลดลง และปี 2024 สัดส่วนรถอีวีคิดเป็นเพียง 12.5% เท่านั้นของรถทั่วยุโรป

ขณะที่ค่ายรถยุโรปและอเมริกันก็กำลังลดสัดส่วนการผลิตรถอีวี ตามตลาดที่โตช้าลงกว่าที่คาดไว้ และความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลง/thegaurdain, wikipedia, bbc


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer