สิงคโปร์ เกาะเล็กๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีประชากรราว 5.7 ล้านคน ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญที่สุดของโลก และเป็นที่ 1 ในภูมิภาคเอเชีย การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และความมีเสถียรภาพทางการเมืองของสิงคโปร์ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นจุดหมายของนักลงทุนและสถาบันการเงินชั้นนำจากทั่วโลก  วันนี้เราจะชวนคุณมาทำความรู้จักกับสิงคโปร์ในบทบาทของประเทศผู้นำทางด้านการเงินการลงทุนแห่งศตวรรษ รวมถึงไปสำรวจดูว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้สิงคโปร์ได้รับการยอมรับในฐานะศูนย์กลางทางการเงินของเอเชียและของโลก

 

สิงคโปร์ศูนย์กลางทางการเงินของโลก: Britannica

 

หลายคนรู้จักสิงคโปร์ในฐานะประเทศเกาะเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงรู้จักอย่างกว้างขวางในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะการ์เดนส์บายเดอะเบย์ มารีน่าเบย์ แซนด์ส เมอร์ไลอ้อนพาร์ค หรือถนนออร์ชาร์ด แต่เราไม่ได้จะพาผู้อ่านไปเจาะลึกเรื่องการท่องเที่ยวแต่อย่างใด กลับกันเราอยากมาชวนรู้เกี่ยวกับสถานะของสิงคโปร์ในฐานะประเทศที่ได้ชื่อว่ามีเสถียรภาพทางการเมืองสูงที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ซึ่งมันจะไปเชื่อมโยงกับเรื่องที่เราจะนำมาเปิดเผยในบทความนี้ นั่นก็คือ สิงคโปร์กับการเป็นมหาอำนาจและศูนย์กลางทางการเงินไม่เพียงแต่ของเอเชียแต่ยังกร้าวแกร่งไปถึงระดับโลก ว่าแต่อะไรทำให้พวกเขามาถึงจุดนี้

ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา สิงคโปร์ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคบริการทั้งในด้านเศรษฐกิจระดับประเทศและยังรวมไปถึงระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่สิงคโปร์จะเป็นตลาดกลางทางการเงินที่น่าดึงดูดใจที่สุดแห่งหนึ่งสำหรับนักลงทุนและนักการเงินจากทั่วโลก และส่งให้สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคอาณานิคมในช่วงศตวรรษที่ 19 เมื่อเซอร์สแตมฟอร์ด ราฟเฟิลส์ ได้ก่อตั้งสิงคโปร์เป็นเมืองท่าการค้าเสรีในปี 1819 ความน่าสนใจของสิงคโปร์ในแง่ของจุดที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ณ จุดบรรจบของเส้นทางการค้าระหว่างตะวันออกและตะวันตก ทำให้เกาะแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญอย่างรวดเร็ว

 

เซอร์สแตมฟอร์ด ราฟเฟิลส์ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อตั้งเมืองสิงคโปร์

หลังจากได้รับเอกราชในปี 1965 รัฐบาลสิงคโปร์ภายใต้การนำของ ลี กวน ยู ได้ดำเนินนโยบายที่มุ่งเน้นการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก โดยเน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน

 

ลี กวน ยู ผู้นำที่พาสิงคโปร์ทะยานสู่ความเป็นระดับโลก: Business and Leadership

 

ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1970 ถึง 1980 สิงคโปร์ได้เริ่มดึงดูดธนาคารต่างชาติและสถาบันการเงินระหว่างประเทศให้มาตั้งสำนักงานในประเทศ การเติบโตของตลาดเงินตราต่างประเทศและการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Singapore Exchange : SGX) ยิ่งเป็นการช่วยเสริมสร้างสถานะของสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางทางการเงินมากขึ้นอีก เดี๋ยวในหัวข้อถัด ๆ ไปเราจะพาไปคลายข้อสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

สิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางทางการเงินของเอเชีย

ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับนานาชาติ สิงคโปร์เป็นที่ตั้งของสถาบันการเงินมากกว่า 1,200 แห่ง และจากข้อมูลของกรมสถิติของสิงคโปร์ (Singapore Department of Statistics : DOS) เปิดเผยว่า ในปี 2023 ภาคบริการทางการเงินและการประกันภัยในสิงคโปร์สามารถดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มากที่สุด คิดเป็น 54% ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งหมด

การที่ ภาคบริการทางการเงินและการประกันภัย เน้นย้ำถึงตำแหน่งของสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำในเอเชีย การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งหมดของสิงคโปร์อยู่ที่ 214,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 158,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2022

4 ตัวเลขการลงทุนในภาคการเงิน

ต้องบอกภาคส่วนนี้เติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2014 (ดูจากสถิติด้านบน) นอกจากนี้ มูลค่าของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ไหลเข้าสู่ภาคการเงินเพิ่มขึ้นถึง 22% เมื่อเทียบกับปี 2017 และ 30% เมื่อเทียบกับปี 2016

นอกจากนี้ ภาคการธนาคารในสิงคโปร์ก็เติบโตไม่แพ้ภาคบริการทางการเงินและประกันภัยเช่นกัน ยกตัวอย่างในปี 2014 สิงคโปร์มีสินทรัพย์รวมประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ปัจจุบันมีธนาคารมากกว่า 200 แห่งที่ดำเนินการอยู่ และจำนวนธนาคารต่างชาติก็เริ่มเข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคที่สิงคโปร์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากระบบนิเวศทางการเงินและการธนาคารรวมถึงนโยบายที่เอื้ออำนวยให้วงการนี้เติบโต รวมถึงมาตรฐานที่เข้าขั้นระดับโลก

ขณะเดียวกันธนาคารของสิงคโปร์ 3 ธนาคาร ได้แก่ DBS Bank Ltd, Overseas-Chinese Banking Corporation Ltd (OCBC) และ United Overseas Bank Ltd (UOB) ก็ติดโผธนาคารที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของ Bloomberg

และเหตุผลเพิ่มเติมว่าทำไมสิงคโปร์จึงเป็นที่ยอมรับในฐานะศูนย์กลางทางการเงินของเอเชีย ก็เนื่องมาจากว่า อุตสาหกรรมการจัดการสินทรัพย์ของสิงคโปร์มีการขยายตัวค่อนข้างดีอยู่ที่ 5.4% เป็น 3.4 ล้านล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังเป็นประตูสู่เอเชีย คอยดึงดูดกองทุนและนักลงทุนในระดับโลก เข้ามาสู่ภูมิภาคเอเชีย อย่างไม่ต้องสงสัย โดยในปี 2018 พบว่า สินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (Asset Under Management: AUM) ที่อยู่ในสิงคโปร์กว่าร้อยละ 75 มาจากนอกประเทศทั้งสิ้น

ตามการสำรวจประจำปีของ Singapore Business Review ในภาคส่วนการประกันภัย สินทรัพย์รวมของผู้ให้บริการรายใหญ่ 50 รายในเมืองมีมูลค่าถึง 232 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปี 2018 เพิ่มขึ้น 13.73% จากปีก่อนหน้าซึ่งมีมูลค่า 204 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์

ไม่เพียงแต่ในภาคการเงินแบบเดิมเท่านั้น สิงคโปร์ยังทุ่มเทเวลาและความพยายามเพื่อสร้างตัวเองให้เป็นศูนย์กลางของ Fintech* ชั้นนำระดับโลกอีกด้วย ในปี 2019 สิงคโปร์เป็นที่ตั้งของ Fintech มากกว่า 50 แห่ง โดยมีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์

*Fintech หรือ Financial Technology คือ การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับบริการทางการเงิน เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินง่ายขึ้น สะดวกสบายมากขึ้น และเข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

โดยสรุป ณ ปัจจุบันดัชนีความสามารถในการแข่งขันของศูนย์การเงินโลกประจำปี 2024  ระบุว่า สิงคโปร์รั้งอยู่ที่อันดับที่ 3 ของโลก ตามหลังเพียงนิวยอร์กและลอนดอน เท่านั้น ในขณะที่ฮ่องกงร่วงลงมาอยู่อันดับที่ 4 โดยก่อนหน้านี้สิงคโปร์เคยตกไปอยู่ในอันดับ 4 ก่อนจะไต่ขึ้นมาที่อันดับ 3 อีกครั้ง

ปัจจัยที่ทำให้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางทางการเงิน

เชื่อหรือไม่ว่าการจะขึ้นมาเป็นเบอร์ต้น ๆ แน่นอนว่าไม่ได้เกิดจากฟลุกหรือโชคช่วย แต่ต้องเกิดจากการวางแผนและความตั้งใจจริง รวมไปถึงความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐและเอกชน ซึ่งปัจจัยที่ทำให้สิงคโปร์สามารถนำพาตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ มาจาก

1. เสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ

สิงคโปร์มีชื่อเสียงในด้านความมีเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพและการบริหารจัดการที่โปร่งใส ซึ่งสิ่งนี้สำคัญมาก ๆ ในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ นโยบายทางเศรษฐกิจที่มีวิสัยทัศน์และการจัดการทางการคลังที่รอบคอบทำให้สิงคโปร์สามารถรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยจากการจัดอันดับประเทศที่มีความโปร่งใสทางการเมืองมากที่สุดในโลกประจำปี 2023 วัดเป็นดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) จัดทำโดยองค์กร Transparency International จัดอันดับประเทศต่าง ๆ  ตามระดับการรับรู้การทุจริตในภาคส่วนสาธารณะ โดยใช้มาตราส่วนตั้งแต่ 0 (ทุจริตมาก) ถึง 100 (โปร่งใสมาก)

อันดับสูงสุดในปี 2023

1. เดนมาร์ก – คะแนน: 90

2. ฟินแลนด์ – คะแนน: 87

3. นิวซีแลนด์ – คะแนน: 87

4. นอร์เวย์ – คะแนน: 84

5. สิงคโปร์ – คะแนน: 83

6. สวีเดน – คะแนน: 83

จะเห็นว่าสิงคโปร์รั้งอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก อย่างที่บอกไปว่า ยิ่งรัฐบาลมีความโปร่งใสในการบริหารประเทศมากเท่าไรยิ่งทำให้เกิดการดึงดูดนักลงทุนมากขึ้นเท่านั้น

สิงคโปร์มีระบบกฎหมายที่มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือ ซึ่งอิงตามระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ของอังกฤษ กฎระเบียบทางการเงินมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดี โดยหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง Monetary Authority of Singapore (MAS) ได้สร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงินและการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน ซึ่งสิงคโปร์มี Regulatory Framework หรือ กรอบการกำกับดูแล ที่ช่วยสนับสนุนให้ภาคการเงินของประเทศแข็งแรงและดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ โดยเสาหลักที่อยู่ใน Framework ประกอบด้วย

1. มีหน่วยงานกำกับดูแลที่ชัดเจน เป็นที่มาของการก่อตั้งสำนักงานการเงินสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore: MAS)

Monetary Authority of Singapore หรือ MAS: Euromoney

 

MAS ก่อตั้งขึ้นในปี 1971 ทำหน้าที่เสมือนเป็นธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินแบบบูรณาการ โดยรวบรวมหน้าที่การกำกับดูแลต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้สอดคล้องและชัดเจนในการกำกับดูแลทางการเงิน แนวทางเชิงรุกของ MAS ในการกำกับดูแลสร้างความไว้วางใจในหมู่นักลงทุนและสถาบันระหว่างประเทศ ทำให้สิงคโปร์เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับธนาคารและการเงิน

2. แนวทางการกำกับดูแลด้านการเงินที่ชัดเจน

แนวทางการกำกับดูแลของสิงคโปร์มีความชัดเจน ซึ่งช่วยลดความไม่แน่นอนสำหรับธุรกิจ MAS จัดทำกรอบการกำกับดูแลที่ครอบคลุมสำหรับภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงธนาคาร ประกันภัย หลักทรัพย์ และเทคโนโลยีทางการเงิน ความชัดเจนนี้ส่งเสริมให้ธนาคารและสถาบันการเงินต่างประเทศจัดตั้งการดำเนินงานในสิงคโปร์ โดยทราบว่าจะอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่มั่นคง

3. การสนับสนุนนวัตกรรม

MAS ส่งเสริมนวัตกรรมในภาคการเงินอย่างแข็งขันผ่านความคิดริเริ่มต่าง ๆ เช่น **สนามทดสอบกฎระเบียบ** ซึ่งช่วยให้บริษัทฟินเทคสามารถทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ด้วยกฎระเบียบที่ผ่อนปรน ซึ่งส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในขณะที่ยังคงให้การคุ้มครองผู้บริโภค

4. แรงจูงใจทางภาษี

สิงคโปร์เสนอแรงจูงใจทางภาษีที่มีการแข่งขันเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ สถาบันการเงินสามารถรับประโยชน์จากโครงการต่าง ๆ เช่น แรงจูงใจภาคการเงิน (FSI) และ โครงการพัฒนาธุรกิจประกันภัย (IBD) ซึ่งให้การยกเว้นภาษีหรือลดอัตราภาษีสำหรับกิจกรรมที่เข้าเงื่อนไข สภาพแวดล้อมที่มีภาษีต่ำนี้ช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดใจของสิงคโปร์ในฐานะฐานทัพระดับภูมิภาคสำหรับบริษัทข้ามชาติ

5. มาตรการต่อต้านการฟอกเงิน (AML) ที่เข้มงวด

รัฐบาลสิงคโปร์มีการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการฟอกเงินที่เข้มงวดเพื่อรักษาชื่อเสียงของสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางทางการเงินที่สะอาด ความมุ่งมั่นในการปราบปรามอาชญากรรมทางการเงินนี้ทำให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าระบบการเงินมีความถูกต้อง

6. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

สิงคโปร์ลงทุนอย่างหนักในการพัฒนากำลังแรงงานที่มีทักษะที่เหมาะกับความต้องการของภาคการเงิน รัฐบาลร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อให้แน่ใจว่าผู้เชี่ยวชาญมีทักษะที่เกี่ยวข้อง ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคส่วนนี้ต่อไป

7. โครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมต่อ

สิงคโปร์มีโครงสร้างพื้นฐานขั้นสูงที่รองรับบริการทางการเงิน รวมถึงระบบโทรคมนาคมและไอทีที่ทันสมัย ​​โครงสร้างพื้นฐานนี้อำนวยความสะดวกในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพสำหรับบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศ ช่วยเสริมสร้างสถานะของสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก

นอกจากนี้ MAS ยังได้มีการส่งเสริมนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีการเงินอย่างจริงจัง ผ่านโครงการริเริ่มต่างๆ เช่น โครงการเทคโนโลยีและนวัตกรรมภาคการเงิน (Financial Sector Technology and Innovation FSTI) ซึ่งมอบเงินช่วยเหลือสำหรับโครงการที่สนับสนุนการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI และ Green Finance มาใช้ นอกจากนี้ MAS ยังออกใบอนุญาตธนาคารดิจิทัลให้กับองค์กรที่ไม่ใช่ธนาคารเพื่อส่งเสริมบริการทางการเงินที่เป็นนวัตกรรม

โครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย

สิงคโปร์มีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ทั้งในด้านการคมนาคม การสื่อสาร และเทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างท่าอากาศยานนานาชาติ ชางงี ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลก และระบบการขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางและการทำธุรกิจ นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ก้าวหน้า ยังช่วยสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินและ FinTech ให้รุดหน้าไปไกลกว่าหลาย ๆ ประเทศในประเทศตะวันตก

ท่าอากาศยานนานาชาติ ชางงี ได้ชื่อว่าเป็นท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลก: Architectural Digest

 

ระบบภาษีที่แข่งขันได้

สิงคโปร์มีระบบภาษีที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ โดยมีอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดาที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วประเทศอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังมีข้อตกลงยกเว้นภาษีซ้อนกับหลายประเทศ ซึ่งช่วยดึงดูดบริษัทข้ามชาติและนักลงทุนต่างชาติ

ยกตัวอย่าง tax Incentive ที่สำคัญในภาคการเงินของสิงคโปร์

  • แผนแรงจูงใจทางภาษีสำหรับภาคการเงิน (Financial Sector Incentive (FSI) Scheme: FSI)

เริ่มมีการนำมาใช้ในปี 2002 มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงการยกเว้นภาษีต่าง ๆ สำหรับภาคการเงิน โดยแบ่งออกเป็น 2 เทียร์ได้แก่

ขั้นสูง: ได้แก่ แรงจูงใจสำหรับการรวมกลุ่มสินเชื่อ ตลาดทุน และตลาดอนุพันธ์ โดยมีอัตราภาษีที่ลดลงตั้งแต่ 5% ถึง 10%

มาตรฐาน: ครอบคลุมในหลายหมวดด้านการเงิน อาทิ การจัดการกองทุน บริการผู้ดูแลทรัพย์สิน ซึ่งโดยทั่วไปจะเสนออัตราภาษีลดหย่อน 13.5% เมื่อเทียบกับอัตราภาษีนิติบุคคลมาตรฐานที่ 17%

  • การยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย

โครงการ FSI ยังให้การยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) สำหรับดอกเบี้ยที่จ่ายโดยบริษัทที่มีคุณสมบัติให้กับผู้ที่ไม่มีถิ่นที่อยู่ การยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย นี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับธนาคารและสถาบันการเงินต่างประเทศ โดยส่งเสริมให้ธนาคารและสถาบันการเงินเหล่านี้มาตั้งธุรกิจในสิงคโปร์

  • การขยายเวลาและการปรับปรุงแรงจูงใจ

เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2023 รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศขยายเวลาโครงการ FSI ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2028 การขยายเวลานี้รวมถึงอัตราภาษีลดหย่อนที่ปรับปรุงให้กระชับขึ้นและขั้นตอนการสมัครที่ง่ายขึ้น ทำให้สิงคโปร์ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับบริการทางการเงิน

  • การสนับสนุนนวัตกรรมและเทคโนโลยี

สำนักงานการเงินสิงคโปร์ (MAS) เสนอแรงจูงใจเพิ่มเติมสำหรับบริษัทฟินเทคผ่านโปรแกรมที่สนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาใช้และนวัตกรรมในภาคการเงิน นอกจากนี้ ยังให้เงินช่วยเหลือและเงินทุนสำหรับการวิจัยและพัฒนา ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดใจของสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางนวัตกรรมฟินเทคมากยิ่งขึ้น

ทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพสูง

สิงคโปร์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างมาก ระบบการศึกษาที่มีคุณภาพสูงและการฝึกอบรมทักษะอย่างต่อเนื่อง ทำให้แรงงานในสิงคโปร์มีความรู้ความสามารถและทักษะที่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมการเงิน นอกจากนี้ นโยบายการนำเข้าแรงงานที่มีทักษะสูงจากต่างประเทศ ยังช่วยเสริมสร้างความหลากหลายและความเชี่ยวชาญในตลาดแรงงาน

แรงงานที่มีทักษะสูงในภาคการเงินของสิงคโปร์นับว่ามีบทบาทสำคัญในการสร้างประเทศให้เป็นศูนย์กลางการเงินชั้นนำในเอเชียและทั่วโลก โดยแนวทางในการพัฒนาคนในภาคการเงินของสิงคโปร์ ได้แก่

  • ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาด

ภาคการเงินในปัจจุบันกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วเนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป แรงงานที่มีทักษะจึงจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านต่าง ๆ หน่วยงานกำกับดูแลการเงินของสิงคโปร์ (MAS) จึงได้จัดสรรงบประมาณจำนวนมากเพื่อพัฒนาทักษะของผู้เชี่ยวชาญในด้านการเงินที่ยั่งยืน (พัฒนาไปเรื่อย ๆ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง) โดยตระหนักถึงความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้นของด้านนี้ในตลาดอาเซียน

  • สนับสนุนให้ทดลองนวัตกรรม

แรงงานที่ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดีจะช่วยส่งเสริมนวัตกรรมภายในภาคการเงิน ความมุ่งมั่นของสิงคโปร์ในการพัฒนาทักษะในสาขาใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ บล็อกเชน และการวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้สถาบันการเงินสามารถเสนอบริการที่ล้ำสมัยได้ MAS ได้เปิดตัวโปรแกรมการฝึกอบรมต่าง ๆ และร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อให้แน่ใจว่าผู้เชี่ยวชาญมีทักษะที่ที่เพียงพอสำหรับการเงินในทศวรรษใหม่ที่กำลังจะมาถึง

  • ความเชี่ยวชาญด้านการเงิน

ด้วยการเติบโตของตลาดการเงินในอาเซียนที่คาดว่าจะสูงถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในทศวรรษหน้า การมีผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่นี้จึงมีความสำคัญ MAS และสถาบันอื่น ๆ มุ่งเน้นที่การเพิ่มทักษะให้กับคนงานเพื่อตอบสนองความต้องการนี้โดยเสนอหลักสูตรและการรับรองใหม่ ๆ ในด้านการเงินที่ยั่งยืน ความคิดริเริ่มนี้ไม่เพียงแต่เตรียมกำลังคนให้พร้อมสำหรับความท้าทายในอนาคตเท่านั้น แต่ยังทำให้สิงคโปร์เป็นผู้นำในด้านการเงินที่ยั่งยืนอีกด้วย

  • การดึงดูดบุคลากรที่มีทักษะสูงจากทั่วโลก

ชื่อเสียงของสิงคโปร์ในการมีแรงงานที่มีทักษะสูงดึงดูดบุคลากรที่มีทักษะจากต่างประเทศ ระบบการศึกษาของประเทศอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก ส่งผลให้มีบุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจำนวนมากที่สามารถตอบสนองความต้องการของสถาบันการเงินในประเทศและต่างประเทศได้ การหลั่งไหลเข้ามาของบุคลากรที่มีทักษะนี้ช่วยยกระดับสถานะของสิงคโปร์ให้เป็นศูนย์กลางการเงินระดับโลก

  • การปฏิบัติตามข้อบังคับและการจัดการความเสี่ยง

เนื่องจากข้อบังคับทางการเงินมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ การมีผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะซึ่งเข้าใจการปฏิบัติตามข้อบังคับและการจัดการความเสี่ยงจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น การมุ่งเน้นการพัฒนาแรงงานในระดับมืออาชีพช่วยให้มั่นใจได้ว่าประเทศจะมีคนงานที่มีความรู้ความเข้าใจกฎระเบียบและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาชื่อเสียงของสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางทางการเงินที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้

 

แรงงานทักษะสูงจากประเทศต่าง ๆ ถูกดึงดูดให้เข้ามาทำงานที่สิงคโปร์: Al Jazeera

 

ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม

ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของสิงคโปร์ตั้งอยู่ใจกลางทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างตลาดการเงินในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ความแตกต่างของเขตเวลาทำให้สิงคโปร์สามารถทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างตลาดการเงินตะวันออกและตะวันตกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงิน

รัฐบาลสิงคโปร์และ MAS ได้ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในด้าน FinTech การสนับสนุนด้านนโยบายและการเงินสำหรับสตาร์ทอัปด้านการเงิน รวมถึงการจัดตั้ง “Sandbox” ทางกฎระเบียบ ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมทางการเงินในภูมิภาค

 

ตลาดทุนที่พัฒนาแล้ว

ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) เป็นหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องและมีการพัฒนามากที่สุดในเอเชีย การมีบริษัทจดทะเบียนจากหลากหลายอุตสาหกรรมและประเทศ ทำให้ SGX เป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญสำหรับบริษัทในภูมิภาค

นับถึงปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) ประมาณ 640 บริษัท และมีบริษัทจดทะเบียนในกระดาน Catalist ประมาณ 215 บริษัท ทำให้มีบริษัทจดทะเบียนรวมทั้งหมดประมาณ 855 บริษัท

 

ตลาดหลักทรัพย์แห่งสิงคโปร์ หรือ Singapore Stock Exchange: Financial Times

ความเป็นศูนย์กลางการบริหารความมั่งคั่ง

สิงคโปร์ได้พัฒนาตัวเองให้เป็นศูนย์กลางการบริหารความมั่งคั่งชั้นนำของโลก โดยดึงดูดเงินลงทุนจากบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง (High Net Worth Individuals – HNWIs) จากทั่วโลก โดยเฉพาะจากภูมิภาคเอเชีย การมีผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลาย รวมถึงความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในการทำธุรกรรม ทำให้สิงคโปร์เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนที่มีความมั่งคั่งสูงที่จะนำสินทรัพย์ของตนไปลงทุนที่สิงคโปร์

ความเป็นกลางทางการเมืองระหว่างประเทศ

สิงคโปร์ ดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่สมดุลและเป็นกลาง ซึ่งช่วยให้สิงคโปร์สามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งประเทศตะวันตกและตะวันออก ความเป็นกลางนี้ทำให้สิงคโปร์เป็นประเทศที่เหมาะสมสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

การพัฒนาตลาดตราสารหนี้

สิงคโปร์ได้พัฒนาตลาดตราสารหนี้ให้มีความแข็งแกร่งและมีสภาพคล่องสูง โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรรัฐบาลสิงคโปร์ (SGS) และตลาดหุ้นกู้ภาคเอกชน การพัฒนานี้ช่วยให้บริษัทและรัฐบาลในภูมิภาคสามารถระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเป็นศูนย์กลางการซื้อขายสกุลเงิน

ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของสิงคโปร์เป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณการซื้อขายสูงเป็นอันดับสามรองจากลอนดอนและนิวยอร์ก ความหลากหลายของสกุลเงินที่ซื้อขายและสภาพคล่องสูงทำให้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

การเป็นศูนย์กลางการระงับข้อพิพาททางการเงิน

สิงคโปร์ได้พัฒนาตัวเองให้เป็นศูนย์กลางการระงับข้อพิพาททางการเงินระหว่างประเทศ ด้วยการจัดตั้งศูนย์อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศสิงคโปร์ (SIAC) และศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศสิงคโปร์ (SIMC) ความเป็นกลางและความเชี่ยวชาญในการระงับข้อพิพาททำให้สิงคโปร์เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการแก้ไขข้อพิพาททางการเงินระหว่างประเทศ

 

ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศสิงคโปร์: The Straits Times

 

ด้วยเหตุผลทั้งหมดเหล่านี้น่าจะเพียงพอที่จะทำให้สิงคโปร์ก้าวขึ้นมาเป็นสูนย์กลางทางการเงินอันดับต้น ๆ ของโลก และไม่แน่ว่าอาจจะก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในไม่ช้าแม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายในอนาคต แต่ด้วยความสามารถในการปรับตัวและนวัตกรรมที่สิงคโปร์ได้แสดงให้เห็นตลอดประวัติศาสตร์ของประเทศ มีความเป็นไปได้สูงที่สิงคโปร์จะยังคงรักษาและเสริมสร้างบทบาทในฐานะศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของเอเชียและของโลกต่อไปในอนาคต การเน้นย้ำถึงจุดแข็งที่มีอยู่ พร้อมทั้งการปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มใหม่ ๆ ในโลกการเงิน จะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความสำเร็จของสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำของเอเชียในทศวรรษต่อ ๆ ไป


เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ


อ้างอิง

https://redhatcapital.co.uk/blog/singapore-is-now-the-financial-centre-of-asia/

https://www.viettonkinconsulting.com/fdi/what-makes-singapore-an-asian-financial-hub/

https://boardroom.global/singapores-financial-sector-a-hub-of-innovation-sustainability/

https://www.doing-business-international.com/2023/01/singapore-the-investment-hub-for-asia/

 

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer