จากร้านเล็ก ๆ ย่านสี่พระยาสู่ห้างสรรพสินค้าลักชัวรีชั้นนำในหลายเมืองใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางแฟชั่นของโลก
ในเมืองไทยเชื่อว่าใคร ๆ ก็ต้องรู้จักห้างเซ็นทรัล แต่หลายคนคงไม่รู้ว่าวันนี้ห้างเซ็นทรัลจากเมืองไทยรายนี้คือเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงถึง 10 แบรนด์ 40 สาขา ใน 7 เมืองใหญ่ทั่วยุโรป
ห้างสรรพสินค้าทั้งหมดเป็นของเซ็นทรัลกรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ บริหารโดย ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล
ส่วนในประเทศอิตาลี 9 สาขา เป็นของบริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริหารโดย ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC)

การเข้าสู่ Luxury Retail Market อย่างเต็มรูปแบบในตลาดยุโรปที่เป็นศูนย์กลางแฟชั่นของโลก ที่มีความโดดเด่นในเรื่องสินค้าลักชัวรี และเป็น Tourist Destination เริ่มต้นขึ้นในปี 2554
โดยบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ได้เปิดฉากเข้าไปลงทุนที่ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ซึ่งเป็นห้างเก่าแก่ที่สุดในอิตาลี และมีประวัติอันยาวนานกว่า 160 ปี
ในปี 2566 ห้างรีนาเซนเต 9 สาขาในประเทศอิตาลีสามารถทำรายได้ทะลุสถิติ 1 พันล้านยูโร สูงที่สุดในรอบกว่าศตวรรษ
และทำให้รายได้ปี 2566 ของ CRC สูงสุดเป็นประวัติการณ์รวม 248,688 ล้านบาท กำไรสุทธิ 8,016 ล้านบาท
เซ็นทรัลรีเทลทำได้อย่างไร
ตามไปเปิดเส้นทางความสำเร็จ ของเซ็นทรัล รีเทล สู่เบอร์ 1 Luxury Retail ในอิตาลี และเรื่องราวความท้าทายที่กำลังจะมาถึง

เมื่อ 13 ปีก่อนเมื่อมหาเศรษฐีชาวอิตาลีเจ้าของห้างรีนาเซนเตที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศอิตาลี ต้องการขายธุรกิจนี้เพราะรุ่นลูกหลานต้องการไปทำธุรกิจอย่างอื่น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ตระกูลจิราธิวัฒน์มหาเศรษฐีจากเมืองไทยต้องการเข้าสู่ Luxury Retail Market ในยุโรปพอดี
ดีลการซื้อขายในมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาทที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับ “ทุนค้าปลีกสัญชาติไทย” ที่ก้าวขึ้นเป็นเจ้าของกิจการรีเทลในเมืองท่องเที่ยวระดับโลกทันที
13 ปีผ่านไปการที่รีนาเซนเตสามารถทำยอดขายทะลุ 1 พันล้านยูโร สูงที่สุดตั้งแต่มีห้างนี้มากว่าศตวรรษ สะท้อนถึงความสำเร็จของ CRC ได้เป็นอย่างดี
สำหรับยอดขายครึ่งปีแรก 2024 ของรีนาเซนเตมีการเติบโตขึ้นราว 12% โดยได้อานิสงส์จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศอิตาลีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (ยอดขายจากนักท่องเที่ยวโต 13%)


อะไรคือ Key Success
1. ตั้งแต่ช่วงปี 2554–2566 มีการปรับโฉมห้างจาก Traditional Store ให้กลายเป็น Luxury Store ทุกสาขาทั่วอิตาลี ไม่มีหยุดแม้ในช่วงวิกฤตโควิด-19
ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยน Traditional Department Store สู่ Luxury Retail อย่างเต็มรูปแบบซึ่งสามารถตอบโจทย์ลูกค้าทั้งกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และกลุ่มนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้อย่างครบวงจรโดยเฉพาะสาขาแฟลกชิปสโตร์ คือ สาขามิลาน และโรม เวีย เดล ตริโตเน
2. เป็นรีเทล ที่สามารถเชื่อมโลกและการช้อปปิ้งข้ามประเทศได้ โดยได้เปิดตัวบริการ Rinascente On Demand Chat & Shop ในปี 2017 และในปี 2020 ที่เกิดวิกฤตโควิด ก็ได้เปิดตัวเว็บไซต์ Rinascente.it เพิ่ม ทำให้ลูกค้ายังสามารถช้อปปิ้งข้ามประเทศได้ ในขณะที่ทั่วโลกหยุดการเคลื่อนไหว
3. ทำธุรกิจให้มีความยืดหยุ่นพร้อมปรับตัวในทุกสถานการณ์ ที่ห้างรีนาเชนเตได้ปรับ Offering ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าชาวอิตาลี เพื่อสร้างยอดขายจากลูกค้าโลคอลควบคู่ไปกับการตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว
โดยนำความรู้และประสบการณ์ค้าปลีกจากการให้บริการนักท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนมาประยุกต์ใช้ในตลาดอิตาลี เช่น การปรับภาพลักษณ์แบรนด์ Rinascente ใหม่ และปรับโฉมห้างให้เป็นห้างลักชัวรีอย่างเต็มรูปแบบ
และรวบรวมแบรนด์หรูไว้อย่างครบครัน เช่น Louis Vuitton, Gucci และแบรนด์ระดับโลกอื่น ๆ

4. การนำแนวคิดการสร้าง Flagship store ให้มีความแตกต่างและมีจุดเด่นมาปรับใช้ในสาขาในเมืองหลัก เพื่อมอบประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับลูกค้า
5. การบริหารโดยคน Local เพราะสามารถรู้จักตลาดและเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าได้ดีที่สุด ซึ่งการทำธุรกิจในต่างประเทศ เซ็นทรัลรีเทลให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก
ปัจจุบันรีนาเชนเตถือเป็น Luxury Retail อันดับ 1 ในอิตาลี และมีทั้งหมด 9 สาขา ใน 8 เมืองสำคัญ ที่เป็นศูนย์กลางด้านแฟชั่นและการช้อปปิ้งระดับโลก ได้แก่ สาขามิลาน, โรม เวีย เดล ตริโตเน, โรม เปียซซาฟิอุเม, ตูริน, ฟลอเรนซ์, คัลยารี, ปาแลร์โม, กาตาเนีย และ มอนซ่า
รวมพื้นที่ทั้งสิ้นกว่า 74,000 ตารางเมตร ด้วยจำนวนพนักงานกว่า 5,000 คน
รายได้ทั้งหมดเป็นยอดขายจากลูกค้าโลคอล 59% และนักท่องเที่ยว 41% โดย 5 อันดับแรกมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศอาหรับ จีน ไต้หวัน และบราซิล ตามลำดับ จำนวนลูกค้าผู้ใช้บริการมากกว่า 20 ล้านราย
จำนวนสมาชิก Rinascente Card มากกว่า 4 ล้านราย จำนวนแบรนด์สินค้าทั้งแบรนด์หรูและแบรนด์โลคอล รวมมากกว่า 3,600 แบรนด์

ก้าวต่อไปของห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต The Next-Level Luxury Retail
เป้าหมายของห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเตจะเป็นมากกว่า Store ผ่าน 3 ยุทธศาสตร์หลัก ประกอบด้วย
1. การผสานรีนาเชนเตให้เป็นหนึ่งเดียวกับเอกลักษณ์ของเมือง ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเตแต่ละสาขา จะมีจุดเด่นและสะท้อนจิตวิญญาณของเมืองที่ตั้ง ทั้งในด้านคอนเซ็ปต์การออกแบบอาคาร รูปแบบเสา การตกแต่งภายใน โทนสี รูปทรง วัสดุ ไปจนถึงดีไซน์โลโก้และถุงช้อปปิ้ง ที่แต่ละสาขาจะมีความโดดเด่นไม่ซ้ำกัน

2. การเปลี่ยนรีนาเชนเตให้เป็นศูนย์รวมของการใช้ชีวิตทั้งในเรื่อง House of Brand: ครบครันด้วยแบรนด์สินค้าที่ดีที่สุดจากอิตาลีและแบรนด์ระดับโลก
House of Entertainment: ผ่านการจัดกิจกรรม ที่เอ็กซ์คลูซีฟมากมาย และ Big Event ร่วมกับแบรนด์ระดับโลก

House of Values: โดยดำเนินธุรกิจบนแนวคิด “Keep it beautiful” ที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคม

3. ยกระดับรีนาเซนเตสู่การเป็น Media Company เห็นได้จากโปรเจกต์ Brand Take Over ที่ห้างรีนาเซนเตได้ร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง

เช่น Chanel Beauty จัดกิจกรรม “Chanel Wonderland” แปลงโฉมห้างรีนาเชนเตสาขามิลาน ให้กลายเป็นงานศิลปะสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่สว่างไสวไปทั่วทั้งใจกลางเมือง ประดับประดาส่วนหน้าของอาคารด้วยไฟโทนสีทอง พร้อมทั้งตกแต่งไฟให้มีลูกเล่นเป็นคำว่า Chanel เพื่อสื่อถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ และทำให้เกิดภาพที่เป็นลวดลายสวยงามและมีชีวิตชีวา สร้างความตื่นเต้นและความประทับใจให้กับทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
ถือเป็นการขยายฐานลูกค้า ทำให้เกิดการบอกต่อในวงกว้าง และเสริมสร้างชื่อเสียงให้กับห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเตอีกด้วย
ความท้าทายในการทำห้างสรรพสินค้าที่อิตาลีของ CRC
ปิแอร์ ลุยจิ ค็อคคินี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารห้างสรรพสินค้ารีนาเซนเตในเครือเซ็นทรัลรีเทล ได้อธิบายว่ามีอยู่ 2 ปัจจัยหลัก
1. Physical store การเข้าไปลงทุนและรีโนเวตห้างเก่าแก่กว่า 159 ปี โดยยังรักษาโครงสร้าง และสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของอิตาลีเอาไว้ ทำให้ห้างรีนาเชนเตโฉมใหม่สร้างความโดดเด่น ตื่นเต้นให้ทั้งลูกค้าทั้งอิตาลีและยุโรป โดยเฉพาะสาขา Rome Via Del Tritone เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งเดียวในโลกที่สร้างครอบโบราณสถานเกือบ 3,000 ปี
เขายังบอกว่า การเปิดตัว Beauty Hub ที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลีคือความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดที่กำลังจะมาถึง เช่นกัน
2. Digital เนื่องจากธุรกิจสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ยังไม่เป็นที่นิยมมากนักในประเทศอิตาลี ดังนั้น การสร้างเว็บไซต์ ต้องพัฒนาให้เป็นมากกว่าแค่ช่องทางในการนำเสนอโปรโมชันเท่านั้น แต่ต้องสามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ด้วย

รวมทั้ง เซ็นทรัล รีเทล ยังไม่มีแผนที่จะขยายจำนวนสาขาของห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเตในอิตาลีเพิ่มขึ้น แต่จะโฟกัสไปที่การพัฒนาห้างที่มีอยู่ โดยเน้นการรีโนเวต ปรับโฉมใหม่ และมีการเพิ่มสินค้าแบรนด์ลักชัวรีให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ทั้งลูกค้าชาวอิตาลีและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
และตอกย้ำภาพลักษณ์ในเรื่อง Media Company ทำให้ห้างสรรพสินค้าไม่ใช่เป็นเพียง Store แต่เป็นที่สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
ภาพรวมและแนวโน้ม Luxury Market ในยุโรป
ในยุโรปตลาดสินค้าลักชัวรีเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มี Dynamic และยืดหยุ่นที่สุดในโลก ประกอบไปด้วยสินค้าทั้งแฟชั่น เครื่องประดับ เครื่องสำอาง น้ำหอม และไวน์ อุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวตลอดเวลา ต้องมีการปรับราคาและการวางตำแหน่งคอลเลกชันของแบรนด์ตลอดทั้งปี
ดังนั้น ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดจะเป็นการตอบสนองความคาดหวังของผู้บริโภคจากทั่วโลก โดยคาดว่าตลาดนี้จะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังปี 2025
ความสำเร็จในการสร้างห้างรีนาเชนเต สู่ Luxury Retail อันดับ 1 ในอิตาลี ในวันนี้ยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยในการนำธงไทยไปปักในเวทีค้าปลีกระดับโลก แสดงให้เห็นว่าค้าปลีกไทยมีศักยภาพสูง และสามารถยืนหนึ่งบน Global Stage ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
————————————————————————————————
Next Big Move ความท้าทายครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงมิลาน
สาขาที่มิลาน ถือว่าเป็นสาขาแฟลกชิปสโตร์ของรีนาเซนเต เป็นสาขาที่ทำรายได้สูงสุด และเป็นอีกห้างหนึ่งที่มีความโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ตั้งอยู่ใจกลางใกล้กับแลนด์มาร์กสำคัญคือวิหารดูโอโม (Duomo di Milano) หนึ่งในมหาวิหารที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของอิตาลี

ในบ่ายวันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม 2567 Marketeer และสื่อมวลชนอีกประมาณ 10 คน ตามคำเชิญของ CRC ได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมสาขานี้ หลังจากวันก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสเยี่ยมชมสาขาที่โรม และฟอร์เรนซ์มาแล้วอย่างตื่นตา
ที่มิลานบรรยากาศสุดจะคึกคักเพราะเป็นช่วงวันหยุด ด้านนอกห้างจะเห็นภาพผู้คนจากทั่วโลกหลั่งไหลมาเยี่ยมชมวิหารดูโอโม
ส่วนภายในห้างก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ที่ดูเหมือนว่าทุกคนพร้อมที่จะไปซื้อ ไปกิน ไปดื่ม น้อยคนที่จะไปเดินเล่นชิล ๆ
ด้วยความเป็นห้างสรรพสินค้าในเมืองที่เก่าแก่พื้นที่เลยมีเพียงประมาณ 6 ชั้น ประมาณ 2 หมื่นตารางเมตร โอกาสที่จะขยับขยายเป็นไปได้ยาก
3 แบรนด์หรูที่ขายดีที่สุดคือ หลุยส์ วิตตอง ดิออร์ และกุชชี่
แต่ล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา มีการแถลงข่าวใหญ่อย่างเป็นทางการกับสื่อมวลชนที่ประเทศอิตาลีว่า
สาขานี้ได้มีการเช่าพื้นที่ของอดีตโรงละคร “Elizabethan theatre” อายุเกือบ 100 ปี ประมาณ 3,000 ตารางเมตร ซึ่งติดกับอาคารหลักของห้างฯ มารีโนเวตใหม่เตรียมเปิดตัว “Rinascente Odeon Beauty Hall” เพื่อให้เป็น Destination ใหม่ที่มีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใครในอิตาลี
ประกอบไปด้วย แบรนด์ชั้นนำมากกว่า 300 แบรนด์ ทั้งเครื่องสำอาง สกินแคร์ น้ำหอม และบิวตี้บาร์
คาดว่าจะดึงดูดผู้เข้าใช้บริการมากกว่า 3 ล้านคน สามารถสร้างรายได้กว่า 80 ล้านยูโรตั้งแต่ปีแรกที่เปิดดำเนินการ และนอกจากด้านความงาม ภายใน Odeon Beauty Hall ยังมีพื้นที่โซนอาหารมากกว่า 700 ตารางเมตร เชื่อมโยงกับส่วนอาคารหลักได้อย่างสมบูรณ์แบบ สอดคล้องกับจุดยืนในการเป็น MEDIA COMPANY
รีนาเชนเต โอเดโอน มีกำหนดเปิดในเดือน พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2570 ในงบประมาณการลงทุนทั้งหมดประมาณ 40 ล้านยูโร หรือกว่า 1,500 ล้านบาท
ซึ่งในวันนั้นทีมของผู้สื่อข่าวก็ได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมภายในโครงการที่กำลังปรับปรุงอยู่เช่นกัน ภาพของเพดานสูง ห้องโถงขนาดใหญ่ และลวดลายของงานสถาปัตยกรรมที่กำลังรังสรรค์ ทำให้มั่นใจได้เลยว่าอีก 3 ปีข้างหน้าที่นี่จะกลายเป็นแม่เหล็กตัวใหม่ให้รีนาเซนเต มิลานแน่นอน

*** ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 เซ็นทรัล รีเทล ดำเนินธุรกิจใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ทั้งหมด 61 จังหวัด, ประเทศเวียดนาม ทั้งหมด 42 จังหวัดและประเทศอิตาลี 9 สาขาใน 8 เมือง
