E-Commerce เมื่อคลื่นเปลี่ยนแปลงกำลังถาโถม ส่วนลด-คอมมิชชั่น-ส่งเร็ว ตัวจุดประเด็น (วิเคราะห์)

ตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตขึ้นทุกปี ดังนี้:

ปี 2019: มูลค่า 165,000 ล้านบาท

ปี 2020: มูลค่า 396,000 ล้านบาท เติบโต 140%

ส่วนปี 2021: มูลค่า 693,000 ล้านบาท เติบโต 75%

สำหรับปี 2022: มูลค่า 818,000 ล้านบาท เติบโต 18%

และปี 2023: มูลค่า 980,000 ล้านบาท เติบโต 19%

– คาดการณ์ปี 2024: มูลค่า 1,100,000 ล้านบาท เติบโต 14%

– คาดการณ์ปี 2027: มูลค่า 1,600,000 ล้านบาท เติบโต 14%

ข้อมูลนี้อ้างอิงจาก ธนาวัฒน์ มาลาบุปผา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไพรซ์ซ่า จำกัด ในงาน DAAT Day 2024

มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยในปีที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่าไทยมีมูลค่าตลาดสูงสุดเป็นอันดับสอง รองจากอินโดนีเซีย แม้ว่าประเทศไทยจะมีจำนวนประชากรอยู่ในอันดับสี่ของภูมิภาค

รายละเอียดมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้:

– อินโดนีเซีย: 2,730,000 ล้านบาท

– ไทย: 980,000 ล้านบาท

– เวียดนาม: 700,000 ล้านบาท

– ฟิลิปปินส์: 700,000 ล้านบาท

– มาเลเซีย: 560,000 ล้านบาท

– สิงคโปร์: 350,000 ล้านบาท

การเติบโตของอีคอมเมิร์ซในไทยมาพร้อมกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ถูกแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะอีมาร์เก็ตเพลส หลายแห่งแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อดึงดูดลูกค้าให้เลือกซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มของตน

ธนาวัฒน์ได้อ้างอิงข้อมูลจาก We Are Social และ Meltwater ซึ่งระบุปัจจัยที่ส่งผลให้คนไทยนิยมช้อปปิ้งออนไลน์ในปี 2022 ได้แก่:

– การจัดส่งฟรี: 57.7%

– คูปองและส่วนลด: 49.2%

– ตัวเลือกจ่ายแบบ COD: 37.6%

– รีวิวจากลูกค้า: 31.8%

– ไลค์และคอมเมนต์บนโซเชียล: 30.6%

– นโยบายคืนสินค้าที่ง่าย: 38.9%

ปี 2023 พบว่าผู้บริโภคออนไลน์ในไทยยังคงให้ความสำคัญกับปัจจัยต่าง ๆ ในการช้อปออนไลน์ โดยมีรายละเอียดดังนี้:

– การจัดส่งฟรี: 54.7%

– คูปองและส่วนลด: 49.0%

– ตัวเลือกจ่ายแบบ COD: 36.1%

– รีวิวจากลูกค้า: 30.4%

– ไลค์และคอมเมนต์บนโซเชียล: 29.7%

– นโยบายคืนสินค้าที่ง่าย: 26.8%

ในปี 2024 พฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับคูปองและส่วนลดมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมองหาความคุ้มค่าจากโปรโมชั่นหลากหลายที่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นในช่วงดับเบิ้ลเดย์หรือเปย์เดย์ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อกระตุ้นการซื้อด้วยการมอบส่วนลดอย่างจุใจให้แก่ผู้บริโภค โดยมีปัจจัยดังนี้:

– คูปองและส่วนลด: 54.0%

– การจัดส่งฟรี: 51.8%

– ตัวเลือกจ่ายแบบ COD: 40.4%

– นโยบายคืนสินค้าที่ง่าย: 30.7%

– รีวิวจากลูกค้า: 27.4%

– ไลค์และคอมเมนต์บนโซเชียล: 26.4%

สำหรับปี 2025 อีคอมเมิร์ซได้ก้าวเข้าสู่ยุค

1.ในปี 2025 อีคอมเมิร์ซได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่รีเทลหันมาให้ความสำคัญกับการดึงดูดลูกค้าให้ซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มของตนเองมากขึ้น เนื่องจากค่าธรรมเนียมอีมาร์เก็ตเพลสที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากช้อปปี้และลาซาด้าที่มีการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมเป็นประจำทุกปี รวมถึงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการทำการตลาดและโฆษณา

ในไตรมาสที่ 3 ปี 2024 ช้อปปี้ ลาซาด้า และติ๊กต็อกได้ปรับขึ้นค่าธรรมเนียมสูงสุดถึง 10% ซึ่งสร้างภาระต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับผู้ค้ารายย่อยและแบรนด์ต่างๆ

สถานการณ์นี้ทำให้รีเทลและแบรนด์หันมาให้ความสำคัญกับการขายผ่านช่องทางของตนเองมากขึ้น เพื่อดึงดูดลูกค้าจากแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลสและลดต้นทุนจากค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้กับแพลตฟอร์มเหล่านั้น

2.ในยุคใหม่ของอีคอมเมิร์ซในปี 2025 แนวทางการตลาดแบบ Affiliate Marketing ได้หลอมรวมเข้ากับ Content และ Commerce อย่างใกล้ชิด โดยการใช้ Influencer แนะนำสินค้าเพื่อแลกกับค่าคอมมิชชั่นจากยอดขายแทนการจ่ายค่าจ้างแบบตายตัว (Flat Rate) กลายเป็นวิธีที่นิยมมากขึ้นในตลาด

อย่างไรก็ตาม ในปี 2023 การจ่ายค่าตอบแทนให้กับ Influencer ยังคงเน้นไปที่การจ่ายแบบตายตัวเป็นหลัก เมื่อเทียบกับรูปแบบอื่น ๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้:

– Flat Rate: 53.0%

– Percentage of Sales: 21.0%

– Product Level Payments: 19.6%

– Tiered Incentives: 6.9%

ในปี 2024 แนวโน้มการจ่ายค่าตอบแทนใน Affiliate Marketing ได้เปลี่ยนมาเน้นการจ่ายแบบ Percentage of Sales เพิ่มมากขึ้น สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับการกระตุ้นยอดขายผ่าน Influencer โดยมีการจ่ายค่าตอบแทนดังนี้:

– Percentage of Sales: 50.0%

– Flat Rate: 24.0%

– Product Level Payments: 19.0%

– Tiered Incentives: 7.3%

เทรนด์ของ Affiliate Marketing ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยแพลตฟอร์มหลายแห่งเริ่มให้ความสำคัญกับการนำ Affiliate มาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาด เช่น ติ๊กต็อกที่เพิ่มฟีเจอร์ Affiliate และยูทูปที่จับมือกับช้อปปี้เปิดตัว Shopping Affiliate ในประเทศไทย ขณะเดียวกัน Meta ก็เตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ Affiliate ในปี 2025

นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่ริเริ่มการบุกตลาด Affiliate Marketing ก่อนหน้านี้ เช่น All Online Affiliate, Supalai Affiliate และ Coway Affiliate เป็นต้น

เหตุผลที่ Affiliate กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับการตลาดของแบรนด์ต่าง ๆ มาจากพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยที่มีถึง 83% ซื้อสินค้าตามคำแนะนำของ Influencer โดยหมวดสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการซื้อจากคำแนะนำของ Influencer ได้แก่:

– หมวดความงาม: 68%

– หมวดแฟชั่น: 48%

– หมวดอิเล็กทรอนิกส์: 37%

ข้อมูลนี้อ้างอิงจากการสำรวจของ Cube Asia และ Impact.com ในรายงาน Southeast Asia Consumer 2024

3.นอกจากนี้ ในส่วนของการตลาด Live Commerce ซึ่งเป็นอีกกลยุทธ์ที่ผูกเข้ากับ Affiliate ก็มีการเติบโตอย่างมาก แม้ในปัจจุบันจะมีการไลฟ์ขายสินค้าอย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง แต่ในปี 2025 ธนาวัฒน์คาดว่าการแข่งขันจะยิ่งรุนแรงขึ้น โดยแบรนด์และร้านค้าต่าง ๆ จะเพิ่มชั่วโมงการไลฟ์ให้มากขึ้นเพื่อสร้าง Reach และ Traffic ที่สูงขึ้น ผ่านการวัดผลจากจำนวนชั่วโมงการไลฟ์

จากการสำรวจของ Cube Asia และ Impact.com ในเดือนสิงหาคม 2024 พบว่าคนไทยติดตาม Live Commerce มากถึง 90% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ รองจากเวียดนามและมาเลเซีย โดยแพลตฟอร์มที่คนไทยนิยมติดตามการไลฟ์มากที่สุด ได้แก่:

– ติ๊กต็อก: 86%

– ช้อปปี้: 57%

– เฟซบุ๊ก: 52%

– ลาซาด้า: 32%

– อินสตาแกรม: 23%

4.ในปี 2025 การส่งสินค้าด้วยความเร็วสูงจะกลายเป็น New Normal ของการให้บริการในตลาดอีคอมเมิร์ซ โดยการแข่งขันในด้านความเร็วในการจัดส่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงดูดลูกค้า การรับสินค้าภายในวันถัดไปจึงเป็นมาตรฐานใหม่ที่ผู้บริโภคคาดหวัง

แต่ละแพลตฟอร์มได้เริ่มกระตุ้นให้ร้านค้าส่งสินค้าทันทีหลังจากได้รับคำสั่งซื้อ พร้อมมอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนการจัดส่งที่รวดเร็ว นอกจากนี้ อีมาร์เก็ตเพลสยังปรับตัวเข้าสู่การจัดส่งแบบ Same Day เพื่อสร้างประสบการณ์ในการรับสินค้าที่รวดเร็วทันใจ โดยช้อปปี้ได้นำบริการไรเดอร์ส่งอาหาร Shopee Food มาปรับใช้สำหรับการส่งสินค้าในแพลตฟอร์มของตนในรูปแบบ Same Day พร้อมแคมเปญดึงดูดให้ลูกค้าทดลองใช้บริการนี้ แม้ว่าค่าบริการจะสูงกว่าแบบปกติ ขณะเดียวกัน ลาซาด้าก็มีทิศทางที่คล้ายกันในการขยายบริการส่งด่วน

การส่งด่วนจากแพลตฟอร์มและร้านค้าต่าง ๆ มีส่วนช่วยให้ตลาด Quick Commerce เติบโตอย่างต่อเนื่องประมาณ 20-30% ต่อปี

นอกจากอีมาร์เก็ตเพลส แบรนด์ที่ขายสินค้าออนไลน์โดยตรง เช่น JIB และ Advice ยังเริ่มให้บริการส่งสินค้าภายในวันเดียวกันเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเช่นกัน

5.E-commerce Listening: กลยุทธ์การตลาดเพื่อสร้าง Winning Product

E-commerce Listening เป็นการต่อยอดจาก Social Listening โดยมุ่งเน้นการศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเทรนด์สินค้า โอกาสทางการตลาด และสินค้าที่ขายดีของคู่แข่งในหมวดหมู่เดียวกัน ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนและพัฒนาสินค้าที่เป็น Winning Product ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลส เช่น Shopee และ Lazada มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ขายสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดและคู่แข่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ E-commerce Listening

สำหรับภาพรวมของ E-Commerce ในปี 2025 ธนาวัฒน์มองว่าช่องทางการขายออนไลน์จะประกอบด้วย 5 ช่องทางหลัก ได้แก่ :

  1. อีมาร์เก็ตเพลส: เช่น Shopee, Lazada, TikTok และ NocNoc
  2. อีเทลเลอร์: เช่น เซ็นทรัล, โควี่, พาวเวอร์บาย, โฮมโปร, บานาน่าไอที
  3. แชทคอมเมิร์ซ: เช่น LINE, Facebook Messenger, Instagram
  4. Own Shop: เช่น เว็บไซต์ของแบรนด์เอง, LINE My Shop
  5. ควิกคอมเมิร์ซ: เช่น Grab, LINE MAN, Lotus’s, 7-Eleven, Tops

สำหรับการตลาดในปี 2025 แบรนด์ต่าง ๆ จะใช้ Marketing Channels ทั้ง 5 รูปแบบหลักในการเข้าถึงและสื่อสารกับผู้บริโภค ได้แก่:

  1. Search: เช่น Google
  2. Instant Messenger: เช่น Facebook Messenger, LINE
  3. โซเชียลมีเดีย: เช่น Facebook, Instagram, X, Pantip, Lemon8
  4. วิดีโอเอ็นเตอร์เทนเมนต์: เช่น YouTube, TikTok, TrueID, VTV
  5. Media Portal: ช่องทางการสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มที่รวบรวมเนื้อหาข่าวและบทความต่าง ๆ

นอกจากนี้ Affiliate และ Influencer Marketing จะยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญใน E-commerce Landscape โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างการรับรู้และกระตุ้นการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer