เกมการแข่งขันในธุรกิจแพลตฟอร์ม Ride Hailing ในไทยสนุกขึ้น เมื่อไลน์แมน ได้กลายเป็นหนึ่งผู้เล่นที่เข้ามารุกตลาดอย่างเต็มกำลังผ่านบริการ ไลน์แมนไรด์ด้วยการขยายให้บริการเรียกรถบ้านในชื่อ LINE MAN Eco จากเดิมที่มีเพียงรถแท็กซี่ – LINE MAN Taxi และมอเตอร์ไซค์ – LINE MAN Bike ที่เริ่มให้บริการมาตั้งแต่ปี 2561

การเปิดให้บริการเรียกรถบ้านของไลน์แมนไรด์เปิดให้บริการมาตั้งแต่มกราคม 2567 หลังได้รับใบอนุญาตให้บริการรถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชันจากกรมขนส่งทางบกเป็นที่เรียบร้อย

การเข้ามาในตลาด Ride Hailing ผ่านรถบ้านของไลน์แมนมาจากการมองเห็นโอกาสในตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากพฤติกรรมผู้บริโภคนิยมเรียกรถผ่านแพลตฟอร์มแทนการเรียกรถในรูปแบบออฟไลน์ เช่น การโบกรถแท็กซี่ มากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะมองเห็นความปลอดภัยที่มีมากกว่า

การเติบโตของตลาด Ride Hailing ในไทย ศิวภูมิ เลิศสรรค์ศรัญย์ รองประธานอาวุโสฝ่ายธุรกิจออนดีมานด์ LINE MAN Wongnai ให้ข้อมูลว่าในปี 2024 ตลาด Ride Hailing ในประเทศไทยมีมูลค่ามากกว่า 20,000 ล้านบาท และภายใน 5 ปีต่อจากนี้จะมีมูลค่าสูงกว่า 34,000 ล้านบาท

ประกอบกับที่ผ่านมาไลน์แมนได้เห็นช่องว่างจาก Pain Point ของผู้บริโภคที่มีกับบริการแพลตฟอร์มเรียกรถ ที่มีทั้งในเรื่องราคาที่ปรับตัวสูงมากขึ้นหลังโควิด-19 ของแพลตฟอร์มยอดนิยมในตลาด และความกังวลด้านความปลอดภัยในการใช้บริการในบางแพลตฟอร์มที่มีราคาให้บริการประหยัด

การเข้ามาในธุรกิจเรียกรถบ้านของไลน์แมนไรด์จึงสร้างโอกาสจากการเติบโต และช่องว่างในตลาดผ่านแนวทาง “ราคาถูก ปลอดภัย”​ เป็นจุดขาย ที่เข้ามาเติมเต็มให้กับบริการเรียกรถแท็กซี่ และมอเตอร์ไซค์ที่ไลน์แมนไรด์ให้บริการอยู่

เพราะ ไลน์แมนไรด์วางเป้าหมายว่าจะขึ้นเป็นบริการที่มีผู้ใช้บริการสูงสุด จากปัจจุบันไลน์แมนไรด์ติด Top3 ในตลาดแพลตฟอร์ม Ride Hailing ไทย

และในปัจจุบันบริการ LINE MAN Eco มียอดผู้ใช้เป็นอันดับหนึ่งในบริการ ไลน์แมนไรด์ทั้งหมด

รองลงมาได้แก่

บริการเรียกรถมอเตอร์ไซค์ LINE MAN Bike

และ บริการเรียกแท็กซี่ LINE MAN Taxi

การไปถึงจุดหมายที่วางไว้ ในปัจจุบันไลน์แมนไรด์แนวทางสร้างการเติบโตผ่านกลยุทธ์ 4 ประการ ได้แก่

 

1. กลยุทธ์ด้านราคาของบริการเรียกรถผ่านไลน์แมนไรด์จะเน้นราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด พร้อมฟีเจอร์ให้เลือกรูปแบบการเดินทางแบบปกติหรือขึ้นทางด่วน พร้อมราคาบริการทั้งสองรูปแบบ เพื่อเป็นจุดขายดึงดูดผู้บริโภคเข้ามาใช้บริการ เมื่อเปรียบเทียบกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน

ซึ่งราคาค่าบริการในตลาดเรียกรถผ่านแพลตฟอร์ม ศิวภูมิ ให้ข้อมูลว่าเป็นการตั้งราคาในรูปแบบโมเดล Dynamic Pricing ที่ขึ้นลงตาม Demand และ Supply ระหว่างผู้ใช้บริการ และคนขับ ช่วงที่มี Demand มากกว่า Supply จะมีราคาที่สูงกว่าช่วงปกติ เพื่อดึงคนขับให้บริการมากขึ้นจากค่าตอบแทนที่ดีกว่า และทำให้ผู้ใช้บริการมีรถให้บริการในทุกช่วงเวลา เพราะการเรียกรถและไม่มีรถให้บริการเป็นการสร้างประสบการณ์ทางลบให้กับผู้ใช้บริการและเมื่อเกิดบ่อยครั้งจะเลิกใช้บริการในที่สุด

เนื่องจากการแข่งขันผลักดันให้เกิดการใช้งานของธุรกิจ Ride Hailing จะแตกต่างจาก Food Delivery ในส่วนของแคมเปญส่วนลดต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้เกิดการสั่งอาหาร เนื่องจากราคาค่าส่งที่ค่อนข้างตายตัว

และกลยุทธ์ด้านราคายังเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ดึงดูดผู้ขับสมัครเข้ามาเป็นไรเดอร์ในแพลตฟอร์มจากค่าคอมมิชชั่น หรือค่าบริการที่แพลตฟอร์มเรียกเก็บจากคนขับ 10% จากอัตราค่าโดยสารที่เก็บจากผู้ใช้บริการ ซึ่งผู้บริหารไลน์แมนไรด์มองว่าเป็นค่าคอมมิชชั่นที่ถูกสุดในตลาด

2. กลยุทธ์ด้านความปลอดภัยในการใช้บริการ ผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของผู้ขับ มีระบบติดตามการเดินทางแบบเรียลไทม์ และประกันภัยระหว่างเดินทาง พร้อมระบบประเมินคนขับแบบไม่เปิดเผยตัวตนเข้ามาสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ

กลยุทธ์ด้านความปลอดภัย ในบางรูปแบบ เช่น ตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของผู้ขับ, ประกันภัยระหว่างเดินทาง, ติดตามการเดินทางแบบเรียลไทม์ แม้ไลน์แมนไรด์จะไม่ใช่แพลตฟอร์มเดียวที่มีให้แต่ถือเป็นจุดที่สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการได้อีกทางหนึ่ง

3. ปี 2025 ขยายการให้บริการจากกรุงเทพฯ และปริมณฑลให้ครอบคลุมหัวเมืองอื่น ๆ อีก 15-20 หัวเมืองใหญ่ เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงของผู้บริโภคที่มากขึ้น จากที่คู่แข่งมีให้บริการในจังหวัดอื่น ๆ ก่อนหน้านั้น

4. สร้างความหลากหลายด้านช่องทางชำระเงินผ่าน LINE Pay Wallet, เงินสด, บัตรเครดิต-เดบิต และมีแผนให้บริการชำระผ่าน QR Payment ของธนาคารต่าง ๆ ในอนาคตอันใกล้

สำหรับการเข้ามาทำตลาดบริการเรียกรถบ้านของไลน์แมนไรด์แม้จะเป็นตลาดที่มีโอกาส แต่ยังมีความท้าทายหลายประการ ได้แก่

1. การแข่งขันของคู่แข่งจำนวนมาก ในตลาดที่ผู้ให้บริการบางรายมีการปรับราคาค่าบริการลงเพื่อดึงดูดลูกค้า จากผู้ให้บริการที่เข้ามาร่วมแข่งขันในตลาด

ในปัจจุบันมีแพลตฟอร์ม Ride Hailing ที่ได้รับอนุญาตให้บริการรถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชันมีด้วยกัน 11 ราย

ได้แก่

บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัท โบลท์ ซัพพอร์ต เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด

บริษัท ดอยดู ดิจิทัล (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัท แท็กซ์สี (ไทยแลนด์) จำกัด

บริษัท ทาดา โมบิลิตี้ (ไทยแลนด์) จำกัด

บริษัท บอนกุ เทคโนโลจีส์ จำกัด

บริษัท ฮัลโหลภูเก็ต เซอร์วิส จำกัด

บริษัท แอร์เอเชีย ซูเปอร์แอพ (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัท ไลน์แมน (ประเทศไทย) จำกัด

และบริษัท เอเชีย แค็บ จำกัด

ซึ่งปัจจุบัน 11 บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตยังไม่เปิดบริการเรียกรถครบทุกบริษัท ด้วยเหตุผลในด้านต่าง ๆ แต่ Marketeer เชื่อว่าในอนาคตตลาดนี้จะเกิดการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากผู้ให้บริการที่ได้รับใบอนุญาตที่ขอไปก่อนหน้านั้น และผู้เล่นรายใหม่ที่ขอใบอนุญาตให้บริการรถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชันจากกรมขนส่งทางบกในอนาคต

2. ไลน์แมนไรด์ยังไม่มีบริการเรียกรถในสนามบิน ซึ่งเป็นสถานที่หนึ่งมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบันไลน์แมนไรด์ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษากฎเกณฑ์ต่าง ๆ

3. แม้คนไทยจะรู้จักและสั่งอาหารผ่านไลน์แมน แต่สำหรับไลน์แมนไรด์ กลับมี Awareness เพียงกว่า 90% ในกรุงเทพฯ ใจกลางเมือง ส่วนพื้นที่อื่น ๆ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีน้อยกว่านั้น

ซึ่งความท้าทายนี้ ไลน์แมนไรด์ได้สร้างการรับรู้ และผลักดันให้เกิด Awareness จนเกิดการใช้งานด้วยการสื่อสาร ผ่านแพลตฟอร์มไลน์แมน ที่มีผู้ใช้ 10 ล้านรายที่เป็น Mounty Active User ในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการใช้ส่วนลดในบางช่วงเวลาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการทดลองใช้บริการ เป็นต้น

อย่างไรก็ดี สำหรับการเข้ามาแข่งขันของไลน์แมนไรด์ ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกให้กับผู้บริโภคที่อาจจะเจอ Pain Point ในการใช้บริการรถสาธารณะในรูปแบบต่าง ๆ อีกหนึ่งราย

ส่วนการไปถึงเป้าหมายของไลน์แมนไรด์ถึงฝั่งฝันไหม คงต้องดูกันต่อไป เพราะอย่างน้อยผู้อยู่ในวงการมาก่อน เช่น แกร๊บอาจจะไม่ปล่อยให้ไลน์แมนไรด์ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งอย่างแน่นอน


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer