ในปี 2567 ตลาดผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มในประเทศไทย (กลุ่มยูเอชทีและพาสเจอร์ไรซ์) มีมูลค่าโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 33,000 ล้านบาท มีการเติบโตสูงกว่าปีก่อน 7% แต่ในขณะที่ตลาดผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มโดยรวมโต แนวโน้มปริมาณการผลิตน้ำนมดิบกลับลดลง เนื่องจากต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้น ภาวะโลกเดือดและจำนวนเกษตรกรโคนมที่ลดลง ประเทศไทยมีผลผลิตน้ำนมดิบประมาณ 2,800-3,000 ตันต่อวัน

คุณสลิลลา สีหพันธุ์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า น้ำนมดิบเป็นวัตถุดิบสำคัญของเนสท์เล่ในการนำมาผลิตผลิตภัณฑ์แบรนด์ต่าง ๆ ที่เป็นที่รู้จัก เช่น ไมโล ตราหมี และเนสกาแฟ น้ำนมดิบที่เนสท์เล่ใช้ผ่านมาตรฐานด้านการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืนครบ 100%

เนสท์เล่ได้ดำเนินโครงการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในฟาร์มโคนม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในแผนงานเพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจนเหลือศูนย์ หรือ Net Zero ในปี 2050

แต่อุตสาหกรรมโคนมเป็นแหล่งการปล่อยก๊าซมีเทนได้มากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ถึง 26 เท่า หากไม่มีการจัดการฟาร์มอย่างเป็นระบบครบวงจรจะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทจึงร่วมมือกับเกษตรกรในการส่งเสริมการทำฟาร์มโคนมด้วยการดำเนินงานตามหลัก “การเกษตรเชิงฟื้นฟู” Regenerative Agriculture ลดผลกระทบจากสภาวะโลกเดือด ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ดีขึ้นจากปริมาณและคุณภาพผลผลิตที่ดีขึ้น

เนสท์เล่จึงได้ทำงานร่วมกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศไทยมานานกว่า 40 ปี เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมนมในไทย โดยส่งเสริมหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟู ที่มุ่งเน้นการปกป้องและฟื้นฟูดินที่เป็นแหล่งปลูกอาหารวัวให้มีความสมบูรณ์ การสร้างความหลากหลายทางชีวภาพให้เกิดขึ้น ทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีด้วยการใช้มูลวัวตากแห้งเป็นปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เป็นพลังงานทดแทน ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในแปลงปลูกและทรัพยากรธรรมชาติ

คุณศิรวัจน์ ปิณฑะดิษ นักวิชาการเกษตร บริษัทเนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เนสท์เล่เป็นเจ้าแรกที่นำการเกษตรเชิงฟื้นฟูเข้ามาปรับใช้กับฟาร์มโคนม โดยการเกษตรเชิงฟื้นฟูมุ่งเน้น 3 ด้านสำคัญในการบริหารจัดการฟาร์มโคนมอย่างครบวงจร คือ

  1. การพัฒนาการจัดการอาหารและโภชนะ แนะนำให้เกษตรกรทำแปลงหญ้าผสมถั่วหลากหลายชนิดเพื่อเป็นแปลงหญ้าอาหาร และเป็นการเสริมสารอาหารประเภทโปรตีนให้กับแม่โค
  2. การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการนำไปตากแห้ง เมื่อแห้งแล้วสามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ในแปลงหญ้าอาหารสัตว์ เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและบางส่วนสามารถแบ่งไปจำหน่ายในรูปปุ๋ยคอก สร้างแหล่งรายได้ให้กับเกษตรกรอีกกว่า 40,000 บาทต่อปี รวมถึงติดตั้งบ่อไบโอแก๊สเพื่อนำมูลโคมาหมักในบ่อและนำก๊าซมีเทนไปใช้ประโยชน์เป็นแก๊สหุงต้มในครัวเรือน

และ 3. สนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนด้วยการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์สำหรับสูบน้ำบาดาลมาใช้ในแปลงหญ้า เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งน้ำได้ตลอดปี และลดต้นทุนด้านพลังงาน ช่วยให้เกษตรกรโคนมมีไฟใช้ในครัวเรือน

คุณวรวัฒน์ เวียงแก้ว ตัวแทนเกษตรกรโคนมอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา กล่าวเสริมว่า จำนวนเกษตรกรฟาร์มโคนมมีจำนวนลดน้อยลงเป็นผลมาจากต้นทุนอาหารสัตว์ที่แพงขึ้น เกษตรกรสู้ราคาไม่ไหว แต่หลังจากได้ทำงานกับเนสท์เล่ ที่แนะนำหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูเข้ามาประยุกต์ใช้ จึงได้เริ่มเป็นฟาร์มโคนมนำร่อง มีการทำแปลงหญ้ารูซี่ หญ้าไนล์ ปลูกพืชถั่ว ทำบ่อไบโอแก๊ส ตากมูลวัว ติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ 100%

ทำให้เกษตรกรได้รับความรู้ด้านการทำปศุสัตว์ที่เหมาะสม สามารถส่งน้ำนมดิบให้เนสท์เล่ด้วยมาตรฐาน GAP จากกรมปศุสัตว์ทั้ง 100% ได้

ความสำเร็จเบื้องต้นจากการทำฟาร์มโคนมตามหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟู

  • ในปี 2567 ได้ปริมาณน้ำนมดิบโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 13.5 กก. ต่อตัวต่อวัน ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศที่ 11.7 กก. ต่อตัวต่อวัน
  • ในปี 2567 คุณค่าโภชนาการในน้ำนมดิบที่วัดได้จากระดับโปรตีนในนมเพิ่มขึ้นเป็น 3.02% จากระดับ 2.94% ในปี 2566 ซึ่งการที่ค่า %โปรตีนนมมากกว่า 3% บ่งบอกถึงสุขภาพของแม่โคที่สมบูรณ์ และยังเป็นการเพิ่มโภชนาการที่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคอีกด้วย
  • จากข้อมูลปี 2565 สามารถลดคาร์บอนได้รวมประมาณ 2,000 ตัน (เมื่อเทียบกับปี 2561)
  • เนสท์เล่ได้ให้ความรู้และเทคนิคการเกษตรเชิงฟื้นฟูแก่เกษตรกรไปแล้วกว่า 160 ฟาร์มจาก 3 สหกรณ์ และมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่ได้เริ่มทำการเกษตรเชิงฟื้นฟูครบวงจรแล้วกว่า 40 ฟาร์ม


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer