ในยุคที่การค้าโลกเต็มไปด้วยความผันผวน การตัดสินใจทางการเมืองของผู้นำประเทศมักส่งผลกระทบอย่างรวดเร็วและรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจ นโยบายการขึ้นภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างสมัยประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการแทรกแซงทางการค้าที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง การเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นไม่เพียงแต่กระทบต่อผู้นำเข้าและส่งออก แต่ยังส่งแรงกระเพื่อมไปยังผู้ประกอบการและผู้บริโภคในวงกว้าง บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงผลกระทบเชิงลึกที่เกิดขึ้นกับธุรกิจภายในประเทศจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ

ความเป็นมาของนโยบายภาษีศุลกากร

ในปี 2018 ช่วงที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก เขาได้ตั้งกำแพงภาษี (ศุลกากร) สูงลิ่ว โดยมุ่งเป้าแบบเฉพาะเจาะจงไปที่ จีน เพราะเขารู้สึกว่า ทำไมในแต่ละปีสหรัฐฯ ถึงขาดดุลการค้าให้จีนมากขนาดนี้ เมื่อเหตุเป็นเช่นนั้น ผลก็คือ ทรัมป์เลยให้คำมั่นว่าจะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในช่วงดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2

 

ครั้งหนึ่งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เคยบอกว่า อเมริกาต้องขาดดุลการค้าสูงถึงปีละกว่า 8 แสนล้านดอลลาร์ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงอยากจะปกป้องผลประโยชน์ของบ้านเกิด: BBC

 

แต่การขึ้นภาษีศุลกากรครั้งนี้เหตุผลกลับแตกต่างออกไปจากครั้งแรก โดยในครั้งนี้ทรัมป์ ต้องการเพิ่มภาษีนำเข้าเพื่อลงโทษจีนเรื่องการผลิตและลักลอบนำเข้า เฟนทานิล ที่ผลิตขึ้นอย่างผิดกฎหมาย ส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดของฝิ่น

ทรัมป์ให้เหตุผลว่าภาษีศุลกากรเป็นมาตรการที่จำเป็นในการใช้ปราบปรามผู้อพยพเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายและการไหลเข้าของยาเสพติด โดยเฉพาะเฟนทานิลที่ไหลเข้าสู่สหรัฐอเมริกามากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงหลัง ทรัมป์กล่าวว่าภาษีเหล่านี้จะยังคงอยู่จนกว่าประเทศเหล่านี้จะดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อควบคุมการค้ายาเสพติดและปัญหาการย้ายถิ่นฐาน

นอกจากนี้ เรื่องการขาดดุลการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังคงมีจำนวนมาก ทรัมป์เพิ่งเสนอปัญหาอื่นที่เขาคิดว่าภาษีนำเข้าสามารถแก้ไขได้

*Fentanyl เป็นฝิ่นสังเคราะห์ที่มีฤทธิ์แรงกว่ามอร์ฟีน 80 ถึง 100 เท่า และแรงกว่าเฮโรอีน 50 เท่า ความแรงนี้เพิ่มความเสี่ยงของการใช้ยาเกินขนาดถึงแก่ชีวิต

ในช่วงสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ นโยบายภาษีศุลกากรถูกนำมาใช้อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะกับประเทศจีน ซึ่งทรัมป์มองว่ามีการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐอเมริกา การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่ถูกนำมาใช้ เพื่อกดดันให้จีนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการค้า

 

โดนัลด์ ทรัมป์เตรียมขึ้นภาษีศุลกากรระลอกใหม่เพิ่มเติมเพื่อกีดกันไม่ให้สินค้าจากประเทศที่อเมริกาขาดดุลการค้าเข้ามาทำให้เศรษฐกิจอเมริกาพัง: Euro News

 

การดำเนินนโยบายดังกล่าวเริ่มต้นจากข้อกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ทรัมป์เชื่อว่าการค้าระหว่างสองประเทศไม่เป็นธรรม และจีนได้ใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อได้เปรียบทางการค้า อาทิ การควบคุมค่าเงินหยวน การอุดหนุนอุตสาหกรรม และการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

สิ่งที่ทรัมป์สัญญากับประชาชนไว้เมื่อครั้งหาเสียงเพื่อให้ตนเองเข้าไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2  โดยให้คำมั่นว่าจะใช้มาตรการภาษีศุลกากรใหม่นี้โดยเริ่มเลยตั้งแต่วันเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 เป็นต้นไป โดยมาตรการภาษีศุลกากรที่ทรัมป์เสนอจะให้มี ได้แก่

ภาษีศุลกากร 25% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก: ภาษีศุลกากรนี้จะใช้กับสินค้าทั้งหมดที่เข้าสู่สหรัฐฯ จากประเทศเหล่านี้ และขึ้นอยู่กับความพยายามของประเทศเหล่านี้ในการควบคุมการอพยพที่ผิดกฎหมายและการค้ายาเสพติด โดยเฉพาะเฟนทานิล ทรัมป์ได้ระบุว่าภาษีศุลกากรเหล่านี้จะคงอยู่ต่อไปจนกว่าปัญหาเหล่านี้จะได้รับการแก้ไข

ขึ้นภาษีศุลกากรอีก 10% สำหรับสินค้าที่มาจากจีน

ณ ถึงขณะนี้ อัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ ที่กำหนดใช้สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนในปัจจุบันแตกต่างกันอย่างมากขึ้นอยู่กับสินค้าแต่ละประเภท รัฐบาลไบเดนยังคงรักษาและปรับอัตราภาษีศุลกากรหลายรายการที่กำหนดไว้ในช่วงรัฐบาลทรัมป์ ต่อไปนี้คือประเด็นสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ภาษีศุลกากรในปัจจุบัน

  • อัตราภาษีศุลกากรทั่วไป สินค้าส่วนใหญ่ที่นำเข้าจากจีนมีอัตราภาษีตั้งแต่ 25% ถึง 100% ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าโดยเฉพาะ อัตราภาษีศุลกากรดังกล่าวได้รับการบังคับใช้ภายใต้มาตรา 301 ของพระราชบัญญัติการค้า พ.ศ. 2517 ซึ่งกำหนดเป้าหมายไปที่สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ ถือว่าเป็นการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีและสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา

 

  • การปรับขึ้นล่าสุดในเดือนพฤษภาคม 2024 มีการประกาศปรับอัตราภาษีศุลกากรเพิ่มเติมสำหรับสินค้าจีนมูลค่าประมาณ 18,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงเซมิคอนดักเตอร์และยานยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้มีการปรับขึ้นภาษีโดยประมาณ 3,600 ล้านดอลลาร์  อัตราภาษีศุลกากรใหม่สำหรับสินค้าเหล่านี้อาจสูงถึง 100% สำหรับภาคส่วนเชิงยุทธศาสตร์บางภาคส่วน

 

  • ผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์เฉพาะ ตัวอย่างเช่น ภาษีศุลกากรสำหรับเซมิคอนดักเตอร์มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 50% ภายในปี 2025 ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าอาจต้องเผชิญกับภาษีศุลกากรสูงถึง 100%

 

นอกเหนือจากภาษีศุลกากรต่อแคนาดาและเม็กซิโกแล้ว ทรัมป์ยังวางแผนที่จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มอีก 10% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากจีน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการไหลเข้าของสารผิดกฎหมายเข้าสู่สหรัฐฯ

แนวทางของทรัมป์บ่งชี้ถึงการดำเนินนโยบายการค้าแบบคุ้มครองทางการค้าของรัฐบาลชุดก่อนของเขา อย่างไรก็ตาม มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากภาษีศุลกากรเหล่านี้ รวมถึงราคาที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภคและมาตรการตอบโต้ที่อาจเกิดขึ้นจากประเทศที่ได้รับผลกระทบ การบังคับใช้ภาษีศุลกากรดังกล่าวอาจทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าที่มีอยู่ เช่น USMCA (สหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา) อีกด้วย

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีนี้ว่า เขาจะพิจารณาจัดเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากเม็กซิโก 200% ขึ้นไป เพื่อป้องกันไม่ให้รถยนต์ที่ผลิตในเม็กซิโกเข้าสู่สหรัฐฯ โดยขู่ว่าจะจัดเก็บภาษีนำเข้าอุปกรณ์ของ John Deere 200% หากผลิตในเม็กซิโกเพื่อขายในสหรัฐฯ เขายังเสนอให้เปลี่ยนภาษีเงินได้ของสหรัฐฯ เป็นรายได้จากภาษีที่สูงขึ้นอย่างมากอีกด้วย

การขึ้นภาษีศุลกากรส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจภายในอเมริกาอย่างไร

การค้าระหว่างประเทศในยุคปัจจุบันมีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของนโยบายศุลกากรที่สามารถส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อระบบเศรษฐกิจ การขึ้นภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลมักใช้เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ต่อภาคธุรกิจ

การเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรไม่เพียงแต่ส่งผลต่อต้นทุนการนำเข้าสินค้า หากยังสร้างความท้าทายให้กับผู้ประกอบการที่ต้องปรับตัวภายใต้สภาวะการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีความยืดหยุ่นทางธุรกิจน้อยกว่า

ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสำหรับธุรกิจ เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากกำลังเตรียมรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากภาษีศุลกากรที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น บริษัทที่พึ่งพาสินค้าหรือวัตถุดิบนำเข้ามีแนวโน้มที่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจต้องส่งต่อไปยังผู้บริโภค สิ่งนี้เห็นได้ชัดโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอย่างอาหารและค้าปลีก ซึ่งอัตรากำไรนั้นค่อนข้างจำกัดอยู่แล้ว

ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น

ธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาษีศุลกากรที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ราคาวัตถุดิบแพงขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ

ตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นจากการนำเข้าไม้และชิ้นส่วนจากจีน บางบริษัทพบว่าต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20-25 ซึ่งกระทบโดยตรงต่อกำไรและความสามารถในการแข่งขัน

ธุรกิจต้องปรับสายห่วงโซ่อุปทานของตัวเอง

หลายบริษัทจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน โดยการหาแหล่งวัตถุดิบใหม่หรือย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร กระบวนการนี้ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายและความยุ่งยากในการดำเนินธุรกิจ ยกตัวอย่าง Nike และ Apple เป็นตัวอย่างของบริษัทที่เริ่มกระจายฐานการผลิตไปยังประเทศเวียดนาม กัมพูชา และอินเดีย เพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน

การปรับห่วงโซ่อุปทาน บริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐ ต้องปรับตัวอย่างมากกำลังปรับห่วงโซ่อุปทานอย่างแข็งขันเพื่อตอบสนองต่อความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับภาษีศุลกากร ตัวอย่างเช่น ธุรกิจบางแห่งกำลังย้ายการผลิตออกจากจีนหรือเจรจาสัญญาใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบของภาษีศุลกากร การเปลี่ยนแปลงนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระยะยาวในกลยุทธ์การจัดหาสินค้า

แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าภาษีศุลกากรเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อ ส่งผลให้ราคาสินค้าของผู้บริโภคในหลายภาคส่วนสูงขึ้น จากการประมาณการพบว่าครัวเรือนอาจต้องเผชิญกับการเพิ่มขึ้นของราคาประมาณ 1,180 ดอลลาร์ต่อปี เนื่องจากราคาสินค้าที่นำเข้าสูงขึ้น 34 ผู้ค้าปลีกและผู้ผลิตได้เริ่มหารือกับลูกค้าเกี่ยวกับการขึ้นราคาสินค้าที่อาจเกิดขึ้นแล้ว

บริษัทส่วนใหญ่เลือกชะลอการลงทุนใหม่ๆออกไปก่อน  จากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีศุลกากรทำให้ธุรกิจหลายแห่งของสหรัฐชะลอการลงทุน รวมถึงอาจจะเลื่อนการตัดสินใจทำอะไรที่สำคัญ ๆ ออกไปจนกว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับโครงสร้างภาษีศุลกากรขั้นสุดท้าย ซึ่งการชะลอการลงทุนที่ว่านี้ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ รอให้มีนโยบายที่ชัดเจนก่อนจึงจะจัดสรรทรัพยากร

ผลกระทบต่อธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง

ธุรกิจขนาดใหญ่คงพอจะมีทางหนีทีไล่กับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากเรื่องของภาษีศุลกากรที่กำลังจะมาถึง แต่กับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) พวกเขามีทรัพยากรและอำนาจต่อรองที่น้อยกว่าย่อมได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เนื่องจากขาดความยืดหยุ่นในการปรับตัวและมีข้อจำกัดด้านทรัพยากรทางการเงิน การเพิ่มขึ้นของภาษีศุลกากรทำให้หลายธุรกิจประสบปัญหาสภาพคล่อง จากการสำรวจของหอการค้าแห่งสหรัฐอเมริกาพบว่ามีธุรกิจ SMEs กว่าร้อยละ 70 ที่น่าจะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีศุลกากรโดยต้องแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และบางรายถึงขั้นต้องปิดกิจการ

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบในกว้างและคาดเดาได้ยากกว่าที่ธุรกิจอเมริกันหลายบริษัทคาดไว้  บริษัทอย่าง Ford, General Motors และ Tesla จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์สำหรับการจัดหาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตใหม่ บางส่วนเริ่มหันมาใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศมากขึ้น หรือแสวงหาแหล่งวัตถุดิบจากประเทศอื่น Stanley Black & Decker ผู้ผลิตเครื่องมือช่าง ได้เน้นย้ำถึงความพยายามในการย้ายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน บริษัทอื่น ๆ เช่น Lowe’s ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกสินค้าปรับปรุงบ้าน ได้ชี้ให้เห็นถึงกระบวนการที่พวกเขาใช้ในการจัดการกับภาษีศุลกากรหลังจาก ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ซึ่งในระหว่างนั้น มีการจัดเก็บภาษีสินค้าที่นำเข้ามูลค่าประมาณ 380,000 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่เหล็กและอะลูมิเนียมไปจนถึงเครื่องซักผ้า ซึ่งส่วนใหญ่มาจากจีน

จากข้อมูลของ Citigroup พบว่าอเมริกานำเข้าอะลูมิเนียมประมาณ 3 ใน 5 และเหล็กกว่า 1 ใน 4 นำเข้ามาจากแคนาดา โดยเหล็กจำนวนมากก็มาจากเม็กซิโกเช่นกัน ภาษีนำเข้าของทรัมป์จะส่งผลทำให้ราคาเหล็กของผู้ผลิตในอเมริกาสูงขึ้น 15-20% เป็นอย่างต่ำ

ท่ามกลางพายุผลกระทบจากนโยบายขึ้นภาษีศุลกากรรอบใหม่ของทรัมป์ ที่กำลังโหมกระหน่ำเข้าซัดทั้งธุรกิจนอกและในประเทศ หนึ่งในอุตสาหกรรมภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ อุตสาหกรรมยานยนต์

ตามข้อมูลของ Nomura ระบุว่า โดยปกติแล้ว General Motors ต้องนำเข้ารถกระบะที่ผลิตในเม็กซิโกและแคนาดาเข้าจำหน่ายในในอเมริกาทำให้มีโอกาสสูงมากที่สายอุปทานนี้จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีศุลกากร นอกจากนี้ โรงงานผลิตรถยนต์ในอเมริกายังนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์มาจาก 2 ประเทศนี้ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 9%

และถ้ามีการบังคับใช้ภาษีศุลกากรเวอร์ชั่น ทรัมป์ 2.0 น่าจะทำให้กำไรจากการดำเนินงานของ General Motors ลดลงมากถึง 4 ใน 5 ในปี 2025

ธุรกิจสหรัฐฯ รับมือกับผลกระทบนี้อย่างไร

เมื่อสถานการณ์ในการที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งใจจะขึ้นภาษีศุลกากรแน่นอนแล้วนั่นแปลว่าเหล่าบรรดาผู้บริหารธุรกิจในสหรัฐฯ ก็ต้องหาหนทางในการปรับตัวเพื่อเอาตัวรอด ซึ่งจากบทวิเคราะห์ของ The Economist ให้ความเห็นเอาไว้ว่าอย่างน่าสนใจว่าบริษัทสัญชาติอเมริกันมีทางเลือกอยู่ทั้งสิ้น 3 ทางในการเอาตัวรอดจากผลกระทบในเรื่องของกำแพงภาษีที่เพิ่มขึ้น

วิธีแรก การกักตุนสินค้า

บริษัทอย่าง Microsoft, Dell และ HP รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ของอเมริกา เร่งรีบการนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ให้ได้มากที่สุดก่อนที่รัฐบาลชุดใหม่จะเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม 2025 อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวยังมีข้อจำกัดอยู่ นั่นก็คือ สต๊อกสินค้าที่หลายบริษัทกักตุนไว้ อาจหมดลงก่อนที่จะมีการยกเลิกภาษีศุลกากร และการเก็บสินค้าคงคลังไว้ทีละมาก ๆ สร้างภาระในการดูแลรักษาให้กับบริษัทเป็นอย่างมาก ซึ่งก็ไปกระทบกับต้นทุนในการบริหารจัดการสินค้าของบริษัทให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก

 

ภาพกราฟแสดงให้เห็นการเปรียบเทียบมูลค่าการขนส่งทั้งในช่วงก่อนการประกาศใช้มาตรการทางภาษีศุลกากรในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก: freightos

 

ตามข้อมูลของ JPMorgan Chase ระบุว่า บริษัทใหญ่หลาย ๆ แห่งของอเมริกาได้เพิ่มสต๊อกสินค้าคงคลังไปแล้วก่อนหน้านี้ เนื่องจากในช่วงการระบาดของโควิด เกิดความวุ่นวายในห่วงโซ่อุปทาน และอาจมีความต้องการจำกัดในการเพิ่มสินค้าคงคลังเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้ต้นทุนในกักตุนสินค้าสูงขึ้น เห็นได้จาก อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนต่อยอดขายเฉลี่ย (Average Current Ratio) ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ กว่า 1,500 แห่งสูงขึ้นมากกว่าช่วงเวลาใด ๆ ในทศวรรษที่ผ่านมา

วิธีที่ 2 ผลักภาระภาษีให้กับลูกค้าโดยการขึ้นราคาสินค้า

หลายบริษัทในอเมริกามีแนวโน้มว่าอาจจะต้องมีการขึ้นราคาสินค้าเพื่อรับมือกับภาษีที่จะสูงขึ้น ซึ่งทางเลือกนี้ผู้ค้าทั่วโลกต่างก็ใช้กัน เพราะง่ายและไม่ต้องปรับตัวเยอะมาก อย่างไรก็ตามมันก็อาจจะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง นั่นคือ เรื่องเงินในกระเป๋าของคนอเมริกันอาจจะไม่พร้อมถ้าธุรกิจส่วนใหญ่เลือกใช้วิธีนี้ เพราะมีหลายปัจจัยที่บ่งบอกว่า ถ้าธุรกิจเลือกวิธีนี้อาจทำให้ผู้บริโภคหันไปหาทางเลือกอื่น ๆ แทน

โดยปัจจัยที่ทำให้การเลือกใช้วิธีนี้เป็นไปได้ยากก็คือ เงินสะสมที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เก็บไว้ในช่วงโควิดระบาดถูกเงินเฟ้อกัดกินไปมากอยู่พอสมควร และนอกจากนี้ ยังมีมีสัญญาณว่าตลาดงานของอเมริกากำลังชะลอตัวลง อัตราการผิดนัดชำระหนี้บัตรเครดิตอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี

 

ราคาสินค้าอาจแพงขึ้น ถ้าผู้ค้าตัดสินใจเลือกผลักภาระภาษีนำเข้าให้กับผู้ซื้อ: CNBC

 

วิธีที่ 3 เปลี่ยนซัปพลายเออร์รายใหม่

วิธีนี้ไม่ใช่ว่านึกอยากจะทำก็ทำได้เลยทันที เพราะเมื่อบริษัทได้ซัปพลายเออร์รายใหม่แล้ว พวกเขาจะต้องทดสอบและเจรจาด้วย ซึ่งเป็นกระบวนการที่อาจใช้เวลานานหลายปี ซึ่งก็มีบริษัทอเมริกันหลายรายที่เริ่มกระจายสายโซ่อุปทานของบริษัทตัวเองออกจากจีนแล้ว

ตามข้อมูลของ Kearney ส่วนแบ่งของสินค้าเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีนมีสัดส่วนลดลงจาก 24% ในปี 2018 เหลือ 15% (2023) ขณะเดียวกันส่วนแบ่งสินค้านำเข้าเพื่อการผลิตจากประเทศต้นทุนต่ำอื่น ๆ อย่างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นจาก 13% เป็น 18% และเม็กซิโก เพิ่มจาก 14% เป็น 16% ตามลำดับ

Fernando Leibovici และ Jason Dunn จากธนาคารกลางสหรัฐฯ วิเคราะห์ว่าการลดลงของส่วนแบ่งการนำเข้าของจีนนั้นมากที่สุดในอุตสาหกรรมที่อเมริกาต้องพึ่งพาคู่แข่งมากที่สุด อย่างในอุตสาหกรรมสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ

 

ภาพของโรงงานประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ซึ่งมีฐานที่ตั้งอยู่ที่ประเทศเม็กซิโก: The Wall Street Journal

 

อย่างไรก็ตาม การย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เพราะรัฐบาลของไบเดนเองก็ยังใช้มาตรการทางภาษีศุลกากรเดิมของทรัมป์ในสินค้าหลายรายการและเพิ่มมาตรการภาษีของตนเองบางส่วน เพื่อได้ปราบปรามสินค้าจีนที่จะส่งเข้ามาขายในอเมริกาผ่านวิธีการทางอ้อม ซึ่งเรื่องนี้เราก็เคยมีเขียนถึงไปแล้วว่า จีนทำยังไงเพื่อหลบเลี่ยงกำแพงภาษีอันสูงลิ่วของสหรัฐฯ

นโยบายกีดกันการค้าของนายทรัมป์ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่จีนเท่านั้น แต่ยังมุ่งเป้าไปที่ประเทศอื่น ๆ ที่อเมริกามีการขาดดุลการค้าด้วย ส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ ที่กำลังวางแผนย้ายห่วงโซ่อุปทานไปยังเม็กซิโก เวียดนาม หรือประเทศต้นทุนต่ำอื่น ๆ อาจต้องปวดหัวอีกครั้ง บางบริษัทอาจถึงขั้นตัดสินใจย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ ซึ่งบางอุตสาหกรรมก็เกิดขึ้นแล้ว เช่น อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

เรื่องนี้เริ่มมีมูลมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยจากตัวเลขสถิติในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ พบว่าค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างโรงงานในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยมีมูลค่าถึง 172,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นสองเท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2019 ในขณะเดียวกัน ดัชนีความสามารถในการพึ่งพาตนเองของภาคอุตสาหกรรมอเมริกัน ซึ่งจัดทำโดย Kearney ก็เริ่มมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นนับตั้งแต่ปี 2021 หลังจากที่ลดลงติดต่อกันเป็นเวลาถึงแปดปี โดยดัชนีนี้คำนวณจากผลผลิตภายในประเทศ (ไม่รวมการส่งออก) เทียบกับการนำเข้า

กำแพงภาษีศุลกากรที่กำลังจะมาถึงอาจสร้างความเจ็บปวดให้กับธุรกิจของอเมริกามากกว่าครั้งก่อน จากการวิจัยของ Carlyle Burd จากมหาวิทยาลัย North Carolina State ระบุว่า บริษัทสัญชาติอเมริกาที่ได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากการนำเข้าสินค้าจากจีนโดยนายทรัมป์ในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรก พบว่ากำไรจากการดำเนินงานลดลง 5.4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับบริษัทที่ไม่ได้ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้น

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Stanley Black & Decker บอกว่า ภาษีศุลกากรที่ทรัมป์นำมาใช้กีดกันทางการค้ากับจีน ในช่วงแรกที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ทำให้บริษัทสูญเสียเงินไปถึงกว่า 300 ล้านดอลลาร์ต่อปีในช่วงแรก เทียบเท่ากับ 1 ใน 4 ของกำไรสุทธิในปี 2017 และจากตอนนั้นมาถึงปัจจุบันบริษัทมีกำไรลดลงเฉลี่ยประมาณปีละ 100 ล้านดอลลาร์ต่อปี

การขึ้นภาษีศุลกากรของทรัมป์ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อระบบเศรษฐกิจและธุรกิจภายในประเทศ ไม่เพียงแต่สร้างความท้าทายให้กับภาคธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการบังคับทางอ้อมให้บริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องปรับตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความท้าทายทางการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง และผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรจะยังคงส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกต่อไป


เรื่อ: ณัฐศกรณ์ แสงลับ


อ้างอิง

https://www.economist.com/business/2024/12/03/how-painful-will-trumps-tariffs-be-for-american-businesses

https://edition.cnn.com/2024/11/25/politics/trump-tariffs-mexico-canada-china/index.html

https://apnews.com/article/tariffs-trump-trade-policy-economy-0fb9740a4b42c734c75b64ba09c901d5

https://www.aljazeera.com/economy/2024/11/26/trump-promises-25-tariff-on-mexico-and-canada-extra-10-tariff-on-china

https://www.whitehouse.gov/briefing-room/statements-releases/2024/05/14/fact-sheet-president-biden-takes-action-to-protect-american-workers-and-businesses-from-chinas-unfair-trade-practices/

 

https://www.wsj.com/economy/trade/mexico-wants-to-curb-chinese-imports-with-help-from-u-s-companies-bf169302

https://www.freightos.com/trade-tariffs-and-ocean-freight-potential-impacts-of-the-us-election/


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer