ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน บริษัทจากกลุ่มประเทศนอร์ดิก ที่ประกอบไปด้วย เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ และไอซ์แลนด์ กลับแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความสามารถในการปรับตัวได้อย่างน่าทึ่ง และเมื่อปี 2025 เริ่มต้นขึ้น ก็น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งว่าในขณะที่บริษัทจากประเทศอื่น ๆ อาจต้องเผชิญกับความท้าทายในการเติบโต แต่บริษัทจากกลุ่มประเทศนอร์ดิกอาจโชว์ฟอร์มได้ดีสวนทางกับบริษัทจากประเทศอื่น ๆ ในโลกนี้และอาจถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่บริษัทจากภูมิภาคนี้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในเวทีธุรกิจระดับโลก
ด้วยพื้นฐานทางสังคมของบริษัทในกลุ่มประเทศเหล่านี้ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของนวัตกรรมและความยั่งยืน ผนวกกับการลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านการวิจัยและพัฒนา ทำให้บริษัทจากกลุ่มประเทศนอร์ดิกสามารถนำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลกได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในด้านสุขภาพ เทคโนโลยีสะอาดและพลังงานทดแทน
นอกจากนี้ วัฒนธรรมการทำงานที่เน้นความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน การให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมทางเพศ และการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรม ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถจากทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ปี 2025 อาจกลายเป็นปีทองของบริษัทจากกลุ่มประเทศนอร์ดิกอย่างแท้จริง
ภูมิภาค “นอร์ดิก”
กลุ่มประเทศนอร์ดิก (หรือรวมเรียกเป็นภูมิภาคนอร์ดิก) หมายถึงภูมิภาคในยุโรปตอนเหนือ ประกอบด้วย 5 ประเทศ ได้แก่ เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ไอซ์แลนด์, นอร์เวย์, และสวีเดน และดินแดนปกครองตนเองภายใต้การกำกับของประเทศในกลุ่มนอร์ดิกอีก 3 หมู่เกาะ ได้แก่ หมู่เกาะกรีนแลนด์ (เดนมาร์ก) หมู่เกาะแฟโร (เดนมาร์ก) และหมู่เกาะโอลันด์ (ฟินแลนด์)
แผนที่ภูมิภาคนอร์ดิก: Nordic Perspective
กลุ่มนอร์ดิกมีประชากรรวมกันราว 27 ล้านคน มีพื้นที่รวม 3,425,804 ตารางกิโลเมตร ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งของดินแดนปกคลุมด้วยน้ำแข็งและธารน้ำแข็งที่หนาวเย็นจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ โดยส่วนใหญ่กินพื้นที่บริเวณเกาะกรีนแลนด์ นอกจากนี้ ในทางธรณีวิทยายังถือว่าคาบสมุทรสแกนดิเนเวียประกอบด้วยแผ่นดินใหญ่ของนอร์เวย์และสวีเดน และทางตอนเหนือสุดของฟินแลนด์
ภาพรวมเศรษฐกิจของภูมิภาคนอร์ดิก
ภูมิภาคนอร์ดิกที่ประกอบไปด้วย 5 ประเทศ ได้แก่เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน มีมูลค่าขนาดของเศรษฐกิจรวมกัน ณ ปี 2022 อยู่ที่ประมาณ 591,000 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 720,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 สะท้อนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ที่มาจากการขับเคลื่อนโดยการฟื้นตัวจากพิษเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ความท้าทายล่าสุดและนโยบายการคลังที่สนับสนุน มีชื่อเสียงในด้านประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมาตรฐานการครองชีพที่สูง
ลักษณะเด่นของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศนอร์ดิกมี คือมี GDP ต่อหัวสูง สะท้อนให้เห็นถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่เงินเฟ้อสูงและอุปสงค์ภายในประเทศที่ลดลง การเติบโตคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้น ตัวอย่างเช่น อัตราการเติบโตของ GDP คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.2% ในปี 2025
โดยแต่ละประเทศก็จะมีอัตราการเติบโตของ GDP ที่แตกต่างกันไป อย่างเช่น สวีเดนจะเติบโตประมาณ 1.8% ในขณะที่นอร์เวย์มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างมั่นคงซึ่งขับเคลื่อนโดยภาคส่วนน้ำมันและก๊าซ คาดว่าฟินแลนด์และเดนมาร์กจะฟื้นตัวเช่นกัน โดยมีอัตราการเติบโตประมาณ 1.5% และ 2.4% ตามลำดับ
อัตราเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศนอร์ดิกได้ลดลงหลังจากจุดสูงสุดในช่วงการฟื้นตัวหลังการระบาดใหญ่ อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ประมาณหรือต่ำกว่า 2% ในประเทศส่วนใหญ่ เนื่องจากแรงกดดันด้านราคาที่ลดลง การลดลงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
ภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศนอร์ดิกได้รับการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมหลักหลายรายการ ทรัพยากรธรรมชาติมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะในนอร์เวย์ ซึ่งพึ่งพาการส่งออกน้ำมันและก๊าซเป็นอย่างมาก สวีเดนและฟินแลนด์ได้รับประโยชน์จากภาคส่วนป่าไม้และเหมืองแร่ที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ การผลิตยังคงมีความสำคัญ โดยเฉพาะในสวีเดนและเดนมาร์ก ซึ่งอุตสาหกรรมยานยนต์และยาเจริญรุ่งเรือง ภาคบริการได้กลายมาเป็นส่วนประกอบที่ใหญ่ที่สุดของเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งรวมถึงการดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการท่องเที่ยว
เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศนอร์ดิกส่วนใหญ่จะพึ่งพาการค้าต่างประเทศเป็นหลัก โดยใช้ประโยชน์จากโครงสร้างตลาดเปิดขนาดเล็ก กลุ่มประเทศนอร์ดิกพึ่งพาการค้าต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่
ทรัพยากรธรรมชาติ ประเทศในภูมิภาคนอร์ดิก โดยเฉพาะนอร์เวย์ นั้นพึ่งพา อุตสาหกรรมพลังงาน เป็นหลัก เศรษฐกิจของนอร์เวย์ได้รับประโยชน์อย่างมากจากการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ยกตัวอย่าง นอร์เวย์ ประเทศที่เป็นหนึ่งในผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก โดยนอร์เวย์ติดอันดับผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ 10 อันดับแรกของโลกมาโดยตลอด และ ณ ปี 2023 นอร์เวย์เป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก และเป็นซัปพลายเออร์ก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ให้กับยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรัสเซียลดปริมาณก๊าซธรรมชาติลง
และหากพิจารณาจากการจัดอันดับโดยเฉพาะ นอร์เวย์ถือว่าเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติรายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากรัสเซียและกาตาร์เท่านั้น ภาคปิโตรเลียมมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจของประเทศ โดยคิดเป็นประมาณ 62% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดในปี 2023 ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของนอร์เวย์ต่อภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ
นอร์เวย์ถือเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากรัสเซียและการ์ตา: Norskpetroleum
อุตสาหกรรมการประมง ในปี 2022 มูลค่าการส่งออกของอุตสาหกรรมอาหารทะเลของประเทศนอร์เวย์คิดเป็น 2.3% ของ GDP สะท้อนถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่สำคัญ มูลค่าการส่งออกอาหารทะเลทั้งหมดของนอร์เวย์อยู่ที่ 151.4 พันล้านโครนนอร์เวย์ เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนหน้า นอกจากนี้ ภาคการประมงยังสร้างงานมากถึงประมาณ 86,000 ตำแหน่ง โดยมีส่วนสนับสนุนภาษีที่สำคัญต่อการเงินสาธารณะ
การผลิตและบริการ ภาคบริการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา และกลายเป็นภาคส่วนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค การผลิตยังคงมีความสำคัญ โดยเฉพาะในสวีเดน (เช่น ยานยนต์และเครื่องจักร) และเดนมาร์ก อย่าง อุตสาหกรรมยา เดนมาร์กได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตของบริษัทอย่าง Novo Nordisk นอกจากนี้ ยังมีอุตสาหกรรม โครงการพลังงานสีเขียว สวีเดนลงทุนอย่างหนักในโครงการพลังงานสีเขียว เช่น โรงงานแบตเตอรี่ของ Northvolt และโรงงานของ H2 Green Steel ในภูมิภาคทางตอนเหนือ โดยมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ
Novo Nordisk บริษัทยาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปที่มีบ้านเกิดอยู่ที่เดนมาร์ก: Manufacturing Today
กลุ่มประเทศนอร์ดิกเป็นบ้านเกิดของบริษัทชั้นนำระดับโลก ตั้งแต่เครื่องจักรอุตสาหกรรม Atlas Copco และอุปกรณ์โทรคมนาคม Nokia และ Ericsson ไปจนถึงเข็มขัดนิรภัย Autoliv และลิฟต์ (KONE) นอกจากนี้ ภูมิภาคนี้ยังเป็นบ้านของบริษัท สตรีมมิ่งเพลงที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Spotify
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทในกลุ่มนอร์ดิกมีผลงานดีกว่าบริษัทอื่นๆ ในยุโรป บริษัทจดทะเบียนที่ไม่ใช่สถาบันการเงินในทั้ง 4 ประเทศสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นได้มากกว่าค่าเฉลี่ยของยุโรปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบัน บริษัทในกลุ่มนอร์ดิกคิดเป็นประมาณ 13% ของ MSCI Europe ซึ่งเป็นดัชนีของบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในทวีปนี้ เพิ่มขึ้นจาก 10% เมื่อ 5 ปีก่อน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเท่ากับบริษัทในเยอรมนีในปัจจุบัน
บริษัทในกลุ่มนอร์ดิกยังทำผลงานได้ดีเมื่อเทียบกับบริษัทคู่แข่งระดับโลกในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดย The Economist ได้มีการนำผลงานของบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าสูงสุด 20 อันดับแรกของภูมิภาคนอร์ดิกมาเปรียบเทียบกับคู่แข่งทางตรงในต่างประเทศพบว่า เฉลี่ยแล้ว บริษัทเหล่านี้สร้างอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่สูงกว่าค่ามัธยฐานของบริษัทคู่แข่งได้ถึง 7% (ผลงานของปี 2023)
ปัจจัยอะไรที่ชี้ว่าธุรกิจของกลุ่มประเทศนอร์ดิกมีโอกาสจะรุ่งในปี 2025
ปัจจัยที่ 1 นักธุรกิจชาวนอร์ดิกชอบการค้าขายระหว่างประเทศ ตั้งแต่ดั้งเดิมบรรพบุรุษชาวไวกิ้งของพวกเขาเป็นนักผจญภัยออกไปทำการค้าขายในต่างแดนอยู่แล้ว ในบรรดาบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรกของกลุ่มประเทศนอร์ดิก ส่วนแบ่งรายได้เฉลี่ยมาจากในประเทศเพียง 2% เท่านั้น เมื่อเทียบกับ 12% ของบริษัทอื่น ๆ ในยุโรปและ 46% ของบริษัทในอเมริกา ต้องถือว่าบริษัทในกลุ่มประเทศนอร์ดิกไม่ได้มุ่งหวังรายได้จากคนในประเทศอยู่แล้ว
แอนเดอร์ส โบเยอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Pandora ผู้ผลิตเครื่องประดับรายใหญ่ที่สุดของโลก ระบุว่า Pandora ขยายจากร้านเดียวในโคเปนเฮเกนไปสู่การดำเนินงานทั่วโลกโดยใช้เวลาเพียง 7-8 ปีเท่านั้น และปัจจุบันรายได้ของ Pandora ที่มาจากเดนมาร์ก (ประเทศต้นกำเนิดของ Pandora) มีแค่ 1% ของยอดขายเท่านั้น
Pandora เองก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่เติบโตมากในต่างประเทศ: TDR Explorer
ปัจจัยที่ 2 เทคโนโลยี บริษัทในกลุ่มนอร์ดิกนั้นได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้กันอย่างแพร่หลายมานานแล้ว ถ้าถามว่าเมื่อไหร่ ก็ไม่นานนักหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่าง Lego ได้เปลี่ยนวัสดุที่ใช้ผลิตของเล่นจากไม้ มาเป็นพลาสติก หลังจากที่ได้ทดลองใช้เครื่องขึ้นรูปพลาสติกแบบใหม่แล้วพบว่าประหยัดต้นทุนได้เยอะมากเมื่อเทียบกับการใช้ไม้
Lego เปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีเครื่องฉีดพลาสติกในปี 1940 ซึ่งถือเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดต้นทุนด้านวัสดุและสร้างกำไรให้กับบริษัท: Lego
ข้อมูลจาก Eurostat (หน่วยงานด้านสถิติ) เปิดเผยข้อมูลว่า บริษัทในสหภาพยุโรปที่มีพนักงานมากกว่า 10 คน กว่า 45% ลงทุนจ่ายเงินสำหรับการใช้บริการ Cloud Computing ส่วนถ้านับเฉพาะค่าเฉลี่ยของ 4 ประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ก็พบว่าบริษัทกว่า 75% จากทั้งหมด ก็ลงทุนไปกับคลาวด์เช่นกัน แล้วก็นับว่าเป็นกลุ่มประเทศที่มีอัตราส่วนบริษัทที่หันไปใช้บริการเทคโนโลยีอันทันสมัยมากที่สุดในโลก
ความกระตือรือร้นในการนำเทคโนโลยีมาใช้ของชาวนอร์ดิกยังปรากฏให้เห็นในแวดวงสตาร์ตอัปที่เฟื่องฟู ในบรรดาเมืองต่าง ๆ ในยุโรป มีเพียงลอนดอน ปารีส และเบอร์ลินเท่านั้นที่ดึงดูดเงินทุนจากกลุ่มนักลงทุนได้มากกว่าสตอกโฮล์มซึ่งมีประชากรน้อยกว่ามาก เฮลซิงกิมีบริษัทเกมมากมาย รวมถึง Rovio ผู้สร้างเกม Angry Birds และ Supercell ผู้สร้างเกม Clash of the Clans ผู้ประกอบการชาวนอร์ดิกในปัจจุบันอาจรู้สึกไม่หวั่นไหวที่จะเสี่ยงเมื่อรู้ว่าหากพวกเขาล้มเหลว พวกเขาจะได้รับสวัสดิการว่างงานจำนวนมาก รวมถึงระบบการดูแลสุขภาพและการศึกษาของรัฐที่มีประสิทธิภาพ
ปัจจัยที่ 3 นโยบายของรัฐบาล เรื่องนี้ก็เป็นปัจจัยหลักอีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนความสำเร็จของบริษัทในกลุ่มนอร์ดิก แม้ว่าอัตราภาษีส่วนบุคคลที่สูงลิ่วจะสนับสนุนระบบสวัสดิการที่เอื้อเฟื้อทั่วกลุ่มนอร์ดิก แต่ผลกำไรของบริษัทกลับอยู่ในระดับเดียวกับในอเมริกา
มูลนิธิ Heritage Foundation ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิจัยแนวอนุรักษนิยมของสหรัฐอเมริกา จะมีการจัดทำดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ โดยจะพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเปิดเสรีทางการค้าการใช้มาตรการสนับสนุนด้านการค้าการลงทุนของรัฐบาลในประเทศต่าง ๆ อย่างเช่น อัตราภาษีศุลกากร และธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างเสรีแค่ไหน โดยถ้าปรับถ่วงน้ำหนักปัจจัยที่นำมาใช้คำนวณต่าง ๆ รวมถึงคุณภาพของกฎระเบียบ ผลงานวิจัยก็พบว่า เดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์ ต่างก็อยู่ใน 10 อันดับแรก ซึ่งบ่งบอกถึงการสนับสนุนของรัฐบาลได้ว่าดีแค่ไหน
ยกตัวอย่างเพิ่มเติมในแง่การนำเทคโนโลยีมาใช้กับงานของรัฐบาล อย่างเช่นในเดนมาร์ก การจ้างและเลิกจ้างพนักงานทำได้ง่ายกว่าประเทศอื่น ๆ ในยุโรป การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ของรัฐบาลเดนมาร์กยังทำให้การทำธุรกิจในประเทศง่ายขึ้นด้วย
Vincent Clerc ผู้บริหารของ Maersk บริษัทขนส่งยักษ์ใหญ่ (ระดับโลก) ของเดนมาร์ก ถึงกับบอกว่า “คุณสามารถขอหมายเลขภาษีมูลค่าเพิ่มได้ภายในหนึ่งวัน” ในขณะที่ถ้าในประเทศฝรั่งเศสอาจต้องใช้เวลาหลายเดือน
ปัจจัยที่ 4 ความอดทนของผู้ถือหุ้น ที่ทำให้กลุ่มประเทศนอร์ดิกมีผลงานโดดเด่นกว่ากลุ่มอื่นคือผู้ถือหุ้นที่มีความอดทน ตามข้อมูลของ McKinsey ระบุว่าบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มประเทศนอร์ดิก 4 บริษัทจากทั้งหมด 5 บริษัท ล้วนมีแต่ผู้ถือหุ้นระยะยาว เมื่อเทียบกับ 3 ใน 5 ของทั่วทั้งทวีปยุโรป และ 1 ใน 5 ของอเมริกา ก็จะรู้ว่า การที่บริษัทนั้นมีแต่ผู้ถือหุ้นระยะยาว นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของบริษัท เหล่าบรรดาลูกหลานของผู้ก่อตั้งยังคงถือหุ้นบริษัทที่บรรพบุรุษของตัวเองสร้างมาอย่างเหนียวแน่นอย่างเช่นวันวาน
ถ้าให้ยกตัวอย่างบริษัทที่ผู้ถือหุ้นยังเป็นคนในตระกูลดั้งเดิมที่ก่อตั้งมาอยู่ก็ต้องยกตัวอย่าง Maersk และ Lego ที่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูล Moller และ Kristiansen ตามลำดับ แม้ว่าทั้งสองบริษัทจะมีผู้บริหารภายนอกเข้ามาช่วยบริหารงานตามวิถีของการบริหารสมัยใหม่ก็ตาม ในสวีเดน ตระกูล Wallenberg ซึ่งร่ำรวยจากธุรกิจธนาคาร ถือหุ้นจำนวนมากในบริษัทต่าง ๆ มากมาย รวมถึง Atlas Copco และ Ericsson บริษัท Nordic ขนาดใหญ่แห่งอื่น ๆ รวมถึง Carlsberg และ Novo Nordisk ก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของมูลนิธิไม่แสวงหากำไรทั้งนั้น
การบริหารจัดการในรูปแบบดังกล่าวช่วยป้องกันไม่ให้บริษัทในกลุ่มนอร์ดิกถูกบริษัทต่างชาติเข้าซื้อกิจการ และทำให้บริษัทเหล่านี้มีเวลามากพอในการที่จะค่อย ๆ เติบโต
นอกจากนี้ ยังทำให้บริษัทต่าง ๆ สามารถลงทุนในความสำเร็จระยะยาวได้ง่ายขึ้นอีกด้วย McKinsey คาดว่าบริษัทในกลุ่มนอร์ดิกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 4 ใน 5 ใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนามากกว่าบริษัทคู่แข่งในแถบตะวันตก Lars Fruergaard Jorgensen หัวหน้าบริษัท Novo Nordisk บอกว่าเขาให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของบริษัทในอีก 10 ถึง 20 ปีข้างหน้าเป็นหลักมากกว่าที่จะคิดถึงการเติบโตในช่วงระยะเวลาเพียงแค่สั้น ๆ
เตรียมเผชิญหน้ากับความท้าทาย
ในปีต่อ ๆ ไป รูปแบบธุรกิจของกลุ่มประเทศนอร์ดิกอาจต้องเผชิญกับความตึงเครียด อย่างที่บอกไปว่าธุรกิจของกลุ่มประเทศนอร์ดิกส่วนใหญ่จะพึ่งพารายได้ที่มาจากการค้าขายกับต่างประเทศ บริษัทในกลุ่มประเทศนอร์ดิกจึงมีความเสี่ยงเป็นพิเศษต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่ผันผวน (ของประเทศคู่ค้า)
ซึ่งบางธุรกิจก็เริ่มได้รับผลกระทบไปบ้างแล้ว อย่าง Carlsberg ในปี 2023 ที่ถูกทางการรัสเซียยึดกิจการและต้องตกอยู่ภายใต้ “การบริหารจัดการชั่วคราว” ในเดือนธันวาคม ผู้ผลิตเบียร์รายนี้ตกลงที่จะขายกิจการให้กับพนักงานในท้องถิ่นสองคนในราคาลดพิเศษ Maersk มีเรือและท่าเทียบเรือตู้คอนเทนเนอร์ถูกขีปนาวุธของกลุ่มฮูตีโจมตีในทะเลแดง ทำให้เรือของบริษัทต้องหลีกเลี่ยงคลองสุเอซ ทำให้ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น
นอกจากนี้ การทำธุรกิจในต่างแดนจะเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะกับอเมริกาในช่วงที่โดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ถามว่าทำไม ก็เพราะในช่วงที่มีการหาเสียง ในตอนนั้นว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของอเมริกาได้ให้คำมั่นว่า จะจัดเก็บภาษีนำเข้า 10% กับทุกประเทศ
แต่เอาเข้าจริงเรื่องนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ เพราะนับตั้งแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งมา ทรัมป์ก็มีแนวโน้มที่จะไปเล่นงานเม็กซิโก แคนาดา และจีน เสียมากกว่า แต่เพื่อไม่ให้เป็นการประมาทเกินไป เหล่าผู้บริหารของบริษัทในกลุ่มประเทศนอร์ดิกคงจะมีระแวงกันบ้างว่า ทัศนคติที่ไม่ไว้วางใจต่อการค้ากับต่างประเทศจะแทรกซึมเข้าไปในนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นแน่แท้ ซึ่งก็อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ในภายภาคหน้าได้ เนื่องจากยอดขายกว่า 1 ใน 3 ของบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรกของกลุ่มประเทศนอร์ดิกมาจากสหรัฐอเมริกา
การบริหารจัดการกับ “ว่าที่ปัญหา” อาจต้องอาศัยลักษณะเฉพาะสุดท้ายของบริษัทในกลุ่มประเทศนอร์ดิกที่ผู้บริหารมักหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอยู่บ่อย ๆ นั่นก็คือ การรู้จักปรับตัว นีลส์ คริสเตียนเซ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Lego อ้างถึง ชาร์ลส์ ดาร์วิน (บิดาแห่งทฤษฎีวิวัฒนาการ) ในการที่จะประเมินว่าทำไมบริษัทต่าง ๆ ในภูมิภาคนอร์ดิกนี้จึงอยู่รอดและประสบความสำเร็จ
ไม่จำเป็นว่าบริษัทที่แข็งแกร่งที่สุดจะอยู่รอดได้ แต่ “บริษัทที่สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้”
ความสำเร็จของบริษัทนอร์ดิกที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2025 เกิดจากการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ปัจจัยภายนอกที่เอื้อประโยชน์ ทั้งนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐและกระแสความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้เสริมให้การเติบโตเป็นไปอย่างแข็งแกร่ง
การมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมและการขยายธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง ทำให้บริษัทในกลุ่มประเทศนอร์ดิกสามารถสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีสะอาด พลังงานหมุนเวียน และอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโลกในอนาคต
เมื่อมองไปข้างหน้า บริษัทนอร์ดิกมีแนวโน้มที่จะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยอาศัยจุดแข็งด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน การขยายตัวไปยังตลาดใหม่ ๆ และการพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัยจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความเป็นผู้นำในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญที่บริษัทเหล่านี้ต้องเผชิญคือการรักษาความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และการปรับตัวให้ทันกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
ความสำเร็จของบริษัทนอร์ดิก ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของภูมิภาคนี้เหนือภูมิภาคอื่น ๆ ในโลก แต่ยังแสดงให้เห็นว่าการผสมผสานระหว่างนวัตกรรม ความยั่งยืน และการบริหารจัดการที่ดี สามารถนำไปสู่ความสำเร็จทางธุรกิจที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
เรื่อง : ณัฐศกรณ์ แสงลับ
อ้างอิง
https://www.economist.com/business/2024/12/30/why-are-nordic-companies-so-successful
https://pub.nordregio.org/r-2024-13-state-of-the-nordic-region-2024/executive-summary.html
https://nordics.info/show/artikel/the-nordic-region
–
