ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในไทยเคยเติบโตมากที่สุดในช่วงของการระบาดโควิด-19 จากนั้นจึงค่อยปรับตัวลงมาจนอยู่ในจุดพรีโควิด มูลค่าในปี 2567 อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท สำหรับปีนี้คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตเล็กน้อยที่ 3.5%
ในตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีผู้นำตลาดเป็นชื่อที่ทุกคนรู้จักดีอย่างแบลคมอร์ส ที่ครองมาร์เก็ตแชร์มากกว่า 20% บริษัท แบลคมอร์ส จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินแบลคมอร์สจากประเทศออสเตรเลีย เข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการในไทยปี 1995
คุณปรีติ ฮาไล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท แบลคมอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า แบลคมอร์สครองตำแหน่งเบอร์หนึ่งในตลาดผลิตภัณฑ์วิตามินและอาหารเสริมในประเทศไทยด้วยส่วนแบ่งมากกว่า 20%
ยอดขายมาจากช่องทางออนไลน์ 8% และออฟไลน์ 92% แบ่งเป็นยอดขายจาก independent store หรือร้านขายยาและร้านค้าเพื่อสุขภาพทั่วประเทศ 42% และ 48% จาก Modern Trade เช่น Boots Watson
นับแต่ช่วงโควิด-19 ผลิตภัณฑ์กลุ่มเสริมภูมิคุ้มกันเติบโตมากที่สุด แต่หลังจากโควิดซาลง กลุ่มบิวตี้ก็กลับมาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เพราะผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ที่ดูดี ทำให้บิวตี้เติบโตต่อเนื่องมาตลอด
ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปีนี้ มุ่งเน้นการให้ความรู้กับผู้บริโภคถึงความสำคัญของอาหารเสริม โดยจะมีที่ปรึกษาผลิตภัณฑ์ เภสัชกร หน่วยงานด้านวิชาการและวิชาชีพของบริษัทที่ผ่านการฝึกอบรม จะคอยให้คำแนะนำอันเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภค เพราะนอกจากการออกกำลังกาย พักผ่อนนอนหลับเพียงพอ การรับสารอาหารให้ครบถ้วนจะช่วยให้ร่างกายสามารถทำงานได้ปกติ
พร้อมกันนี้ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ แบลคมอร์ส ไบโอ ซี 1000 มก. เดลี ไอมู พลัส และไบโอ ซี 500 มก. เดลี ไอมู พลัส เม็ดเคี้ยว (Blackmores Bio C 1000 mg Daily Imu+ and Bio C 500 mg Daily Imu+ Chewable) สำหรับคนรักวิตามินซี ตลอดจนแพลนท์เบส โอเมก้า-3 (Plant-based Omega-3) เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มมังสวิรัติ (Vegan) และผู้ที่แพ้อาหารทะเล หรือผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์แพลนท์เบส ผ่านการทดสอบจากทีมคิดค้นและสรุปผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์อย่างเข้มงวดในทุกขั้นตอนของการผลิต
คุณ Alastair Symington Chief Executive Officer แบลคมอร์ส กรุ๊ป กล่าวว่า ปัญหาสุขภาพหลักของคนไทยมีปัญหาการนอนไม่หลับมาเป็นอันดับหนึ่ง ต่อด้วยความเครียดสูง และสุดท้ายคือปัญหาผู้สูงอายุ เพราะไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ทำให้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Anti-Aging เป็นกลุ่มที่อาหารเสริมต้องโฟกัสเป็นพิเศษ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์
ซึ่งภายในปี 2030 บริษัทตั้งเป้าส่งมอบสินค้าถึงมือผู้บริโภคครบ 1,000 ล้านคน จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 650 ล้านทั่วโลก (300 ล้านคนในเอเชีย) พร้อมทั้งตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการขายในออนไลน์ขึ้นจาก 8% เป็น 16% ภายในสามปีนับจากนี้
