ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่อาจกลับมาเยือนสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจต่างจับตามองสัญญาณต่าง ๆ ที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของระดับราคาสินค้าและบริการ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นระยะเวลานานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา

ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะลดค่าครองชีพของประชาชนชาวอเมริกันตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่ง แต่นับจนถึงตอนนี้ดูเหมือนเงินเฟ้อจะยังไม่ลดลงเลย แต่ถึงกระนั้นทรัมป์ก็มีแนวทางในการจัดการกับภาวะเงินเฟ้อคราวนี้ โดยมุ่งเน้นไปที่นโยบายการค้าระหว่างประเทศ การปรับโครงสร้างภาษี และการสนับสนุนการผลิตภายในประเทศ

สถานการณ์เงินเฟ้อในอเมริกาตอนนี้

สหรัฐฯ ต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 โดยอัตราเงินเฟ้อของอเมริกา แตะระดับ 3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ครอบครัวชาวอเมริกันต้องเผชิญกับความตึงเครียดทางการเงินมากขึ้น

ซึ่งหนึ่งในปัจจัยหลักที่กระตุ้นเงินเฟ้อคือ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้า นับเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่รวดเร็วที่สุดตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2023 โดยเฉพาะดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่ผันผวน ก็เพิ่มขึ้น 0.4% เช่นกัน

.

ในช่วงหาเสียงทรัมป์เคยให้คำสัญญาว่า ในวันแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่งจะเซ็น Executive Order เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนชาวอเมริกันทันที

 .

ค่าที่อยู่อาศัยและพลังงานเป็นตัวเร่งเงินเฟ้อ 

การขึ้นมาของเงินเฟ้อในรอบนี้ ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันเงินเฟ้อคือ ค่าเช่าที่อยู่อาศัย ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเพิ่มขึ้น 4.6% จากปีก่อน คิดเป็นเกือบ 30% ของรายการที่ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น นอกจากนี้ ค่าขนส่งและค่าอาหารที่เพิ่มขึ้น ก็เป็นอีกแรงกดดันที่สำคัญ โดยราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นจากความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียและอิหร่าน

ขณะเดียวกัน การระบาดของไข้หวัดนกส่งผลให้ ราคาไข่พุ่งสูงถึง 15.2% ในเดือนมกราคม และเพิ่มขึ้นกว่า 53% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดตั้งแต่ปี 2015

.

ราคาไข่ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 15.2%: YouTube Bloomberg

.

ผลกระทบจากภาษีนำเข้า 

นอกจากนี้ มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ก็อาจทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อรุนแรงขึ้น โดยหากมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มสำหรับสินค้าจากแคนาดา เช่น ไม้ อาจส่งผลให้ ต้นทุนการก่อสร้างบ้านสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่ออุปสงค์-อุปทานของที่อยู่อาศัย และทำให้ค่าเช่าสูงขึ้นไปอีก

ในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ แม้ว่าในเดือนมกราคม ราคารถยนต์ใหม่จะยังคงที่ และยอดขายรถใหม่เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน แต่หากสหรัฐฯ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงภาษีนำเข้ากับแคนาดาและเม็กซิโกก่อนวันที่ 1 มีนาคม อุตสาหกรรมยานยนต์อาจได้รับผลกระทบทันทีจากต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อ ราคารถมือสองที่เพิ่มขึ้น 2.2% ในเดือนมกราคม นับเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2023

ค่าใช้จ่ายด้านขนส่งและประกันพุ่งสูง 

ภาคขนส่ง (Logistic) เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น โดย ค่าประกันและค่าจอดรถเพิ่มขึ้น 8% จากปีที่แล้ว โดยเฉพาะค่าประกันที่พุ่งขึ้นเกือบ 12% จากเดิมที่เคยเพิ่มสูงถึง 20.6% ในปีก่อน เนื่องจากต้นทุนค่าซ่อมรถที่แพงขึ้นและพฤติกรรมขับขี่ที่เสี่ยงมากขึ้น

สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่มาจากหลายปัจจัย ทั้งค่าที่อยู่อาศัย ค่าพลังงาน ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายด้านขนส่ง โดยเฉพาะผลกระทบจากภาษีนำเข้าและความไม่สมดุลของอุปสงค์-อุปทาน ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น แม้จะมีสัญญาณบวกจากราคารถยนต์ใหม่ที่ทรงตัว แต่แนวโน้มโดยรวมยังคงเป็นความท้าทายต่อเศรษฐกิจของครัวเรือนอเมริกันในปีนี้

ในอดีตทรัมป์จัดการกับเงินเฟ้ออย่างไร

ในช่วงที่โดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างปี 2017-2021 แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีนโยบายมุ่งเน้นไปที่การควบคุมเงินเฟ้อโดยตรง แต่แนวทางทางเศรษฐกิจของทรัมป์ก็ส่งผลต่อเงินเฟ้อทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะจากมาตรการลดภาษี สงครามการค้า นโยบายการเงิน และการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงการระบาดของโควิด-19

หนึ่งในนโยบายหลักของทรัมป์ที่มีผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อคือ การปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ผ่านกฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act (TCJA) ในปี 2017 ซึ่งเป็นการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 35% เหลือ 21% และลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในบางช่วงภาษี เป้าหมายของนโยบายนี้คือการกระตุ้นการลงทุนและการบริโภค ซึ่งในระยะสั้นช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ธุรกิจขยายตัว และการจ้างงานเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การลดภาษีก็ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น ส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ แม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ก็ตาม

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเป็นผู้นำที่เน้นใช้นโยบาย สงครามการค้า (Trade War) โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตสินค้าสำคัญของโลก การกำหนดภาษีนำเข้าในอัตราสูง (สูงสุดถึง 25%) กับสินค้าจากจีนหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น อะไหล่รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น และส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ แม้ว่าผลกระทบจะไม่ได้ปรากฏในทันที แต่นโยบายนี้ทำให้ราคาสินค้าในบางภาคส่วนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดาและยุโรปก็ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการก่อสร้างและการผลิตในประเทศ ทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อในระยะยาว

ในด้านนโยบายการเงิน แม้ว่าทรัมป์ไม่ได้เป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ยโดยตรง แต่เขากดดันธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve หรือ Fed) ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงปี 2019-2020 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มแสดงสัญญาณชะลอตัว ทรัมป์มองว่าการลดดอกเบี้ยจะช่วยให้ต้นทุนการกู้ยืมต่ำลง กระตุ้นให้ธุรกิจและประชาชนใช้จ่ายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การลดดอกเบี้ยมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้ เนื่องจากมีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น

เมื่อสหรัฐฯ เผชิญกับการระบาดของโควิด-19 ในปี 2020 ทรัมป์ได้อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึง การแจกเงินช่วยเหลือโดยตรง (Stimulus Checks) ให้กับประชาชน รวมถึงการให้ความช่วยเหลือธุรกิจและโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อรักษาการจ้างงาน มาตรการเหล่านี้มีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกันก็เพิ่มปริมาณเงินในระบบ และอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในช่วงหลังที่ทรัมป์พ้นจากตำแหน่ง

อีกหนึ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเงินเฟ้อในสมัยของทรัมป์คือ นโยบายพลังงาน โดยเขามุ่งเน้นให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาน้ำมันนำเข้า และสนับสนุนการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติภายในประเทศ เขายกเลิกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมหลายฉบับเพื่อให้การขุดเจาะน้ำมันและก๊าซสามารถทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งช่วยให้ราคาพลังงานในประเทศทรงตัวและอยู่ในระดับต่ำในช่วงต้นของการดำรงตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม การคว่ำบาตรอิหร่านและเวเนซุเอลา รวมถึงความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกผันผวน และมีผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในบางช่วงเวลา

แม้ว่าในยุคของทรัมป์ เงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ (เฉลี่ยประมาณ 1.5% – 2.3% ต่อปี) แต่นโยบายเศรษฐกิจของเขาได้สร้างเงื่อนไขที่อาจนำไปสู่แรงกดดันทางเงินเฟ้อในอนาคต นโยบายการลดภาษีและกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้มีเงินหมุนเวียนมากขึ้น ขณะที่สงครามการค้าทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าสูงขึ้น และมาตรการลดดอกเบี้ยของ Fed ตามแรงกดดันของทรัมป์ก็ช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่อาจมีบทบาทต่อภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในช่วงต่อมาหลังจากที่ทรัมป์พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว

แนวทางของทรัมป์ในการรับมือเงินเฟ้อ

ในช่วงที่โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งในปี 2025 นโยบายทางเศรษฐกิจของเขาได้รับความสนใจอย่างมากจากทั้งในประเทศและนานาชาติ โดยเฉพาะในด้านการจัดการกับภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น

  1. นโยบายภาษีและการค้า

ทรัมป์มีแผนที่จะเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งอาจสูงถึง 60% และจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% การเพิ่มภาษีดังกล่าวอาจส่งผลให้ต้นทุนสินค้านำเข้าสูงขึ้น และบริษัทต่าง ๆ อาจส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนี้ไปยังผู้บริโภค ทำให้ราคาสินค้าในประเทศเพิ่มขึ้น และเป็นปัจจัยที่กระตุ้นเงินเฟ้อ

นอกจากนี้ นโยบายการค้าของทรัมป์ที่มุ่งเน้นการกีดกันทางการค้าและการตั้งกำแพงภาษี อาจส่งผลให้ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าตึงเครียดมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การตอบโต้ทางการค้า และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

  1. นโยบายการเงินและการคลัง

ทรัมป์มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องปรับนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล การลดอัตราดอกเบี้ยอาจช่วยกระตุ้นการลงทุนและการบริโภค แต่ก็อาจเพิ่มแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ หากเศรษฐกิจเติบโตเร็วเกินไป

ในด้านการคลัง ทรัมป์มีแผนที่จะขยายเวลามาตรการลดภาษีภายใต้กฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act (TCJA) ที่ประกาศใช้ในปี 2017 ซึ่งมีกำหนดหมดอายุในปี 2025 นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่จะลดอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 21% เหลือ 15% เพื่อสนับสนุนการลงทุนและการจ้างงาน อย่างไรก็ตาม การลดภาษีดังกล่าวอาจทำให้รายได้ของรัฐบาลลดลง และเพิ่มหนี้สาธารณะ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว

  1. นโยบายพลังงาน

ทรัมป์มีแนวนโยบายในการสนับสนุนการผลิตพลังงานภายในประเทศให้มากขึ้น ผ่านการเปิดสัมปทานขุดเจาะน้ำมันโดยเฉพาะการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติให้มากขึ้น  ซึ่งการเพิ่มการผลิตพลังงานภายในประเทศอาจช่วยลดการพึ่งพาพลังงานนำเข้า และควบคุมราคาพลังงานในประเทศ ซึ่งอาจช่วยลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในด้านพลังงาน

นโยบายเพิ่มการผลิตพลังงานภายในประเทศอาจทำให้ราคาพลังงานในสหรัฐฯ ถูกลง: Reuters

  1. นโยบายด้านแรงงานและการอพยพ

ทรัมป์มีนโยบายที่เข้มงวดต่อการอพยพ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแรงงานในบางภาคส่วนของเศรษฐกิจ การจำกัดการอพยพอาจทำให้ตลาดแรงงานตึงตัว และเพิ่มต้นทุนแรงงาน ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น และเป็นปัจจัยที่กระตุ้นเงินเฟ้อ

ทรัมป์จะรับมือเงินเฟ้อได้จริงหรือ

ท่ามกลางความท้าทายในการรับมือกับภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในปี 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเผชิญกับความท้าทาย (อุปสรรค) สำคัญหลายประการที่อาจส่งผลกระทบต่อความพยายามในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งสูงถึง 3% ดังนั้น ทุกนโยบายที่ทรัมป์กำลังจะสั่งการเพื่อปัญหาเงินเฟ้อย่อมหลีกเลี่ยงการถูกจับตามองไม่ได้เลย

พูดถึงเรื่องการลดภาษีเพื่อช่วยเหลือให้ชาวอเมริกันสามารถปลดเปลื้องภาระออกไปได้บ้าง แต่ในระยะยาวสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ การลดภาษีอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น การลดภาษีนิติบุคคลของทรัมป์ในปี 2017 ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ค่าจ้างและผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์ที่ได้รับกลับไม่เพียงพอที่จะชดเชยการสูญเสียรายได้จากภาษี ซึ่งทำให้ การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ มากขึ้น

ทรัมป์มีแผนที่จะชดเชยรายได้ที่หายไปจากการลดภาษีด้วย รายได้จากภาษีศุลกากร (Tariff revenue) และการ ลดรายจ่ายของรัฐบาล แต่ตัวเลขเหล่านี้กลับไม่สอดคล้องกัน คณะกรรมการเพื่อความรับผิดชอบทางการคลังของรัฐบาลกลาง (Committee for a Responsible Federal Budget) คาดการณ์ว่า แผนลดภาษีของทรัมป์จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ระหว่าง 5 ล้านล้านถึง 11 ล้านล้านดอลลาร์ แม้ว่าทรัมป์จะดำเนินแผนภาษีศุลกากรที่เข้มงวดที่สุด รายได้ที่คาดการณ์ได้ก็อยู่ที่ระดับ หลายแสนล้านดอลลาร์เท่านั้น ไม่สามารถชดเชยการสูญเสียรายได้จากภาษีได้

ในขณะเดียวกัน อีลอน มัสก์ ได้ออกมาระบุว่า ทรัมป์ตั้งเป้าลดรายจ่ายของรัฐบาลถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากและอาจหมายถึงการตัดลดงบประมาณในโครงการสำคัญ อย่าง Medicare และ Social Security อย่างไรก็ตาม การบรรลุเป้าหมายนี้ยังไม่แน่นอน เนื่องจากอาจมีอุปสรรคทางกฎหมาย อีกทั้งเงินงบประมาณที่ตัดออกไปบางส่วนอาจได้รับการจัดสรรไปแล้วในสัญญาภาครัฐ

หากทรัมป์สามารถผลักดันการลดภาษีผ่านรัฐสภาได้ รัฐบาลเกือบจะแน่นอนว่าต้องกู้เงินเพิ่มขึ้น ผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาล (Treasury bonds) ซึ่งจะทำให้ตลาดเต็มไปด้วยพันธบัตรมากขึ้น ส่งผลให้ราคาของพันธบัตรลดลง และ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (yields) สูงขึ้น ในที่สุด สิ่งนี้จะกระทบไปถึงอัตราดอกเบี้ยของเงินกู้ทุกประเภท รวมถึงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน (mortgage rates) ทำให้ต้นทุนทางการเงินของประชาชนเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ นโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา ที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า ต้นทุนจากภาษีศุลกากรไม่ได้ตกอยู่กับผู้ส่งออกต่างชาติ แต่กลับเป็นผู้นำเข้าชาวอเมริกันที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่า ต้นทุนที่สูงขึ้นนี้จะถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภคสหรัฐฯ ทำให้ เงินเฟ้อกลับมาพุ่งสูงขึ้นและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม

ในด้านพลังงาน แผนของทรัมป์อาจไม่สามารถแก้ปัญหาต้นทุนพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าเขาจะสามารถเปิดแหล่งขุดเจาะน้ำมันและพื้นที่ชายฝั่งเพิ่มเติมได้มากเท่าที่ต้องการ แต่การเพิ่มการผลิตน้ำมันในระดับสูงสุดยังคงเป็นเรื่องยาก เนื่องจาก ความต้องการทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะในประเทศที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อและการเติบโตที่ชะลอตัว เช่น จีน ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็ผลิตน้ำมันมากที่สุดในประวัติศาสตร์อยู่แล้ว และบริษัทพลังงานเองก็ไม่เร่งรีบที่จะขอใบอนุญาตขุดเจาะใหม่ ซึ่งเห็นได้จาก การประมูลใบอนุญาตขุดเจาะในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าของแอลาสกาเมื่อไม่นานมานี้ที่ไม่มีผู้เข้าร่วมประมูลเลย

สุดท้าย ความต้องการของทรัมป์ให้ธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยก็เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา เมื่อไม่นานมานี้ ทรัมป์โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม Truth Social ว่า “อัตราดอกเบี้ยควรลดลง และสิ่งนี้ควรไปควบคู่กับภาษีศุลกากรที่กำลังจะมาถึง!!! อเมริกา เตรียมตัวลุยกันเลย!!!”

แม้ว่าทรัมป์จะไม่ได้พูดถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) โดยตรง แต่ Kevin Hassett อดีตที่ปรึกษาเศรษฐกิจของเขาระบุว่า ทรัมป์อาจกำลังพยายามกดดันให้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีลดลง ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากหากเขาผลักดันนโยบายลดภาษี

ทรัมป์เคยพยายามกดดัน Fed ให้ลดอัตราดอกเบี้ยในอดีต และได้วิพากษ์วิจารณ์ เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ที่เขาแต่งตั้งขึ้นในสมัยแรกว่า ดำเนินนโยบายทางการเงินที่ไม่รวดเร็วพอ อย่างไรก็ตาม ทรัมป์เคยปฏิเสธข่าวลือที่ว่าเขาพยายามจะปลดพาวเวลล์ออกจากตำแหน่ง

ธนาคารกลางอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้เองโดยไม่ต้องอิงตามความต้องการของทรัมป์ แต่จากตัวเลขเงินเฟ้อที่เพิ่งประกาศเมื่อวันพุธ โอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง

แม้ทรัมป์จะมีเครื่องมือทางนโยบายหลายอย่างในการรับมือกับเงินเฟ้อ แต่ความสำเร็จในการควบคุมระดับราคาจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการบูรณาการนโยบายต่าง ๆ ให้สอดคล้องกัน และการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การแก้ปัญหาเงินเฟ้อจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และความเข้าใจจากประชาชน มากกว่าการพึ่งพานโยบายจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียว


เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ


อ้างอิง

https://apnews.com/article/trump-inflation-tariffs-prices-consumer-50c4738216756499c8cdc17ab77d6d4f

https://edition.cnn.com/2025/02/12/economy/inflation-trump-plan/index.html

https://theconversation.com/inflation-is-heating-up-again-putting-pressure-on-trump-to-cool-it-on-tariffs-249815

https://abcnews.go.com/Business/inflation-increased-january-posing-obstacle-tariff-plans/story?id=118730266


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer