ตลาดอสังหาฯ 2025 ยังเหนื่อย แบรนด์อสังหาฯ รายเล็ก ยิ่งได้รับผลกระทบมาก ‘CHEWA’ วางเป้ารายได้ปีนี้ 2 พัน ลบ. ชู Backlog, โครงการร่วมทุน, Recurring Income ทั้งเร่งลดภาระหนี้ต่อเนื่อง

คุณบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมในปี 2024 ที่ผ่านมาอยู่ในช่วงหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ประกอบกับความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน แม้มีมาตรการกระตุ้นของภาครัฐที่ลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองจาก 3% เหลือ 0.01% พร้อมขยายเพดานจากราคา 3 ล้านบาทเพิ่มเป็น 7 ล้านบาท

แต่ก็ยังมีปัจจัยด้านลบในหลายเรื่องที่ส่งผลกระทบโดยรวม เช่น อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้กระทบต่อความมั่นใจของลูกค้าในภาพรวม สำหรับบริษัท แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากกระแสของลูกค้าที่ชะลอตัว แต่จากสถิติที่ผ่านมาพบว่า จำนวนลูกค้าที่เข้าชมโครงการไม่ได้ลดลง แต่ลูกค้าใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจนานขึ้น รวมถึงโอกาสในการขอสินเชื่อสำเร็จลดลง

อีกทั้งสงครามราคาในตลาดอสังหาฯ ปี 2024 แข่งขันสูงไม่ต่างจากช่วงวิกฤตโรคระบาด มุมหนึ่งก็ส่งผลดีต่อผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อบ้านและคอนโด 

ด้านผลการดำเนินงานปี 2024 ของบริษัท มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,927.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันในปีก่อนจำนวน 28.79 ล้านบาท คิดเป็น 1.52% โดยเป็นรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 1,236 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 12.30% ส่วนรายได้จากโครงการแนวราบจำนวน 549 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 12.30% 

นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากโครงการบ้านมือสองจำนวน 53 ล้านบาท และมีรายได้อื่น ๆ จำนวน 112.68 ล้านบาท คิดเป็น 5.8% ของรายได้รวม ยอดขายหลัก ๆ ที่เติบโตมาจากโครงการคอนโดมิเนียมในช่วงราคา 2-4 ล้านบาท ได้แก่ โครงการชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 เฟส 2, โครงการชีวาทัย ปิ่นเกล้า และโครงการชีวาทัย เกษตร-นวมินทร์ 

ส่วนโครงการแนวราบ ทั้งโครงการทาวน์โฮม/อาคารพาณิชย์ และโครงการบ้านเดี่ยวมีการเติบโตลดลง สืบเนื่องมาจากปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้า แม้ว่าทางบริษัทจะมียอดสะสมจากการทำสัญญาเพิ่มขึ้นก็ตาม ทำให้ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ตามเป้า 

ส่งผลให้การดำเนินงานทั้งปี บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 356.37 ล้านบาท สาเหตุหลักเกิดจากการการตั้งสำรองค่าเผื่อผลขาดทุนจากการลดลงของมูลค่าโครงการ

ส่วนปี 2025 บริษัทตั้งเป้ารายได้ 2,000 ล้านบาท โดยกลยุทธ์ที่จะนำมาใช้ในปีนี้ มีการต่อยอดนโยบายด้านการขายที่ได้รับผลตอบรับที่ดี คือโปรโมชั่น ‘อยากซื้อต้องได้ซื้อ’ ที่มาในรูปแบบของการให้บริการ Financial consultant เข้าดูแลลูกค้าที่มีปัญหาด้านการจัดการเอกสารการกู้สินเชื่อ การบริหารภาระหนี้ หรือปัญหาด้านวินัยทางการเงิน จนไม่สามารถกู้ได้ บริษัทจะเข้าไปดูแลให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าในระยะยาวต่อเนื่องจนสามารถกู้ผ่านและโอนได้ ทำให้มี Backlog ส่วนหนึ่งที่อยู่กับบริษัทนานมาก บางรายมากกว่า 6 เดือน และค่อย ๆ ปรับปรุงวินัยทางการเงินจนสามารถกู้ได้สำเร็จ 

ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2024 มูลค่ารวม 949 ล้านบาท ซึ่งนอกจากรายได้ด้านการขายอสังหาริมทรัพย์เดิมของบริษัทแล้ว ยังเร่งสร้างรายได้จากโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง 

อย่างโครงการหลักที่จะรับรู้รายได้ภายในปี 2025 เดินหน้าผ่าน Real Demand ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น โครงการคอนโดมิเนียม ‘ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค เอกมัย-รามอินทรา’ มูลค่าโครงการ 1,014 ล้านบาท ภายใต้การร่วมทุนกับบริษัท นิปปอน สตีล โควะ เรียล เอสเตท จำกัด (NIPPON STEEL KOWA REAL ESTATE) หรือ NSKRE 

พร้อมกันนี้ ยังมีธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปให้เช่า ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ระยอง ภายใต้การร่วมทุนกับบริษัท ยูเวิร์ค 999 และ Neo727

ในปี 2025 บริษัทยังเดินหน้าศึกษาเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยบนทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมุ่งเน้นเซกเมนต์ที่บริษัทถนัดและได้รับผลตอบรับที่ดีมาตลอด ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมในช่วงราคา 2-4 ล้านบาท ผ่านแบรนด์หลัก Chewathai Hallmark ซึ่งบริษัทวางแผนการซื้อที่ดินใหม่ 4 โครงการ มูลค่ารวม 2,395 ล้านบาท 

นอกจากนี้ ยังมีการเจรจาเพื่อเข้าซื้อคอนโดระหว่างก่อสร้างเพื่อการรับรู้รายได้ที่เร็วขึ้นอีก 1-2 โครงการในปีนี้

บริษัทยังขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income) โดยเน้นลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพและเชื่อมโยงกับธุรกิจเดิมของบริษัท ได้แก่ ธุรกิจบ้านมือสอง ภายใต้แบรนด์ Chewa Renue และธุรกิจนิติบุคคล พร้อมศึกษาธุรกิจอื่น ๆ ที่จะส่งเสริมและสร้างรายได้ให้บริษัทอย่างต่อเนื่อง

บริษัทยังมีแผนลดภาระหนี้หุ้นกู้รวม 470 ล้านบาท โดยปี 2024 สามารถลดภาระหนี้ลงได้แล้ว 250 ล้านบาท จากการชำระคืนหุ้นกู้ ภายในปี 2025 ยังตั้งเป้าจะเร่งลดหนี้ลงอย่างต่อเนื่องอีก 220 ล้านบาท การลดภาระหนี้ลงตามแผนจะทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนทางการเงินของบริษัท และยังทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นจากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง มีสภาพคล่องทางการเงินสูงขึ้น ที่สำคัญยังจะมีผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทลดลงด้วย


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer