บ่ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผู้เขียนเดินหลีกหนีความจอแจแออัดบนถนนเยาวราช เลี้ยวเข้าซอยเล็ก ๆ หลีกสายไฟฟ้าที่ระโยงระยางข้างทาง ผ่านร้านขายของสารพัดอย่าง ไปหยุดยืนอยู่หน้าตึกแถวสูง 5 ชั้นหลังหนึ่ง ด้วยความรู้สึกแปลกใจและทึ่งผสมผสานกัน

นี่คือที่ตั้งของร้านอาหาร POTONG (โพธง) ที่ผู้คนจากทั่วโลกจองคิวยาวเหยียดเพื่อสัมผัสรสชาติอาหารฝีมือของ “เชฟแพม” พิชญา สุนทรญาณกิจ ผู้มีรางวัลระดับโลกหลายรางวัลการันตี

ล่าสุดเธอสามารถคว้ารางวัล The World’s Best Female Chef 2025 “เชฟหญิงที่ดีที่สุดในโลก” โดยองค์กร The World’s 50 Best Restaurants มาครอง

รางวัลนี้มุ่งยกย่องเชฟหญิงที่มีผลงานโดดเด่น ทั้งด้านความคิดสร้างสรรค์ การส่งเสริมวัฒนธรรมอาหาร และการมีอิทธิพลเชิงบวกต่อวงการอาหาร

เชฟแพมจะเดินทางไปรับรางวัลที่ประเทศอิตาลี ในอีกประมาณ 2 เดือนข้างหน้านี้

เป็นเชฟผู้หญิงคนแรกจากทวีปเอเชียที่ได้รับรางวัลที่น่าภาคภูมิใจนี้

เมื่อเปิดประตูเข้าไป ความงดงามของอาคารเก่าอายุกว่า 120 ปี ที่ถูกรีโนเวตใหม่ในเอกลักษณ์แบบจีน-โปรตุเกส เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ​

บนชั้น 3 เชฟแพม และคุณต่อ – บุญปิติ สุนทรญาณกิจ สามีของเธอรอต้อนรับอย่างเป็นกันเอง

แล้วบทสนทนาที่ “อร่อย” ของเราก็เริ่มต้น จากการพูดคุยที่เป็นเสมือนส่วนผสมที่ลงตัวของคนทั้งคู่

“ไม่คาดหวังมาก่อนค่ะว่าตัวเองจะได้รางวัล The World’s Best Female Chef (2025)  เพราะเป็นรางวัลที่คนเอเชียไม่เคยได้มาก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นฝั่งยุโรป หรือฝั่งอเมริกาที่ได้ไป ภูมิใจในตัวเองและทีมมาก ๆ ดีใจที่จะได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเชฟผู้หญิงรุ่นใหม่  ๆ ที่มีความฝันในการทำงานด้านนี้ด้วย”

เชฟแพมพูดด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

รางวัลนี้นับเป็นรางวัลที่ใหญ่ที่สุดขององค์กร The World’s 50 Best Restaurants ที่มอบให้กับเชฟผู้หญิง

อิมแพ็กของรางวัลทำให้ยอดคนตาม IG  chef. pam  เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วัน มีการขอสัมภาษณ์จากสื่อต่าง ๆ ทั่วโลกผ่านอีเมลและระบบ Zoom  อีกมากมาย และมีคิวจองล่วงหน้าประมาณ 2-3 เดือน

ในวัย 36 ปี เชฟแพมได้รับรางวัลต่าง ๆ ทั้งรางวัลที่ได้ส่วนตัวและร้านอาหารของระดับเอเชียและระดับโลกมาแล้วมากมายไม่ต่ำกว่า 17 รางวัล

เธอบอกว่าแต่ละรางวัลที่เห็นเหมือนดอกไม้ที่ค่อย ๆ ผุดมาจากดิน  ซึ่งกว่าจะขึ้นมาได้มันต้องใช้เวลาบ่มเพาะรากของประสบการณ์ให้แข็งแรงนานหลายปี

และชีวิตจริงไม่ได้มีแต่ความสวยงาม หลายครั้งที่อยากจะเลิกราวางมีด ทิ้งกระบวย แขวนผ้ากันเปื้อน แต่ก็อดทนจนผ่านมาได้

เริ่มต้นด้วยความรักที่ครัวแม่ จบตรงหมวกเชฟที่กดดัน

เชฟแพมเป็นลูกครึ่งไทยจีน-ออสเตรเลีย เป็นลูกสาวคนเดียวที่เดินตามคุณแม่เข้าตลาด ทำครัวมาตั้งแต่เล็ก ๆ และรู้ตัวมาตลอดว่าชอบทำอาหาร แต่ยังไม่ถึงกับมีเป้าหมายจะทำเป็นอาชีพ โตขึ้นก็เลยเลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามเพื่อน ๆ

กว่าจะรู้ตัวเองว่าอยากเป็นเชฟก็เมื่อเป็นนิสิตปี 2 – ปี 3 เลยไปเรียนคอร์สสั้น ๆ ที่สถาบันเลอ กอร์ดอง เบลอ และพอได้เรียนจริง ๆ ก็ยิ่งรู้สึกหลงใหลกับการทำอาหารมากขึ้น

เลยตัดสินใจไปเรียนทำอาหารที่ CIA-The Culinary Institute of America  จบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 สาขาการจัดการและการทำอาหาร และได้มีโอกาสฝึกฝนและทำงานร่วมกับเชฟมาร์ค ลาปิโก เชฟผู้บริหารของร้านอาหาร Jean Gorges นานหลายปี

“ตอนทำงานที่นิวยอร์กยอมรับว่าท้อและเหนื่อยมาก เพราะฝรั่งเขาจะเป็นคนตรงบางครั้งจะพูดแรง ๆ จนเราน้ำตาตก ได้แต่บอกตัวเองว่าเราเลือกเอง พ่อแม่ก็ส่งมาเรียนแล้ว  ส่วนความเหนื่อยกายน่ะเราทนได้ ชอบอะไรที่มันได้ใช้พลังเต็มที่ ชอบเวลาครัวยุ่ง ๆ ลูกค้ามากันแน่นร้าน ต้องทำอาหารให้ดี ต้องเสิร์ฟให้เร็ว รู้สึกมีความสุขมาก”

ปี 2015 เชฟแพมก็กลับเมืองไทย เหตุผลหลัก ๆ คือ คิดถึงบ้านหลังจากไปอยู่อเมริกาประมาณ 5-6 ปี และเริ่มต้นอาชีพของเธอในกรุงเทพฯ ด้วยการเปิดร้านอาหาร จากห้องครัวส่วนตัว ในรูปแบบของ Chef’s Table ชื่อ The Table by Chef Pam เน้นสไตล์การทำอาหารแบบ modern cuisine และฝรั่งเศสที่ผสมผสานกลิ่นอายของอาหารไทย

“คุณต่อ” ส่วนผสมที่ลงตัวที่สุดในชีวิต ก็ได้เข้ามาในตอนนั้น ทั้งคู่พบรักกันที่ประเทศสิงคโปร์ และแต่งงานในปี 2019

เขาทำงานกับบริษัทที่ปรึกษาและบริษัทในกลุ่ม Fortune 500 ในประเทศอาเซียน สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมระบบซอฟต์แวร์จากแคนาดา พร้อมปริญญาโทจาก Manchester Business School (MBS) จากสหราชอาณาจักร

“ผมมองว่าการที่ Chef’s Table ประสบความสำเร็จได้เร็วเป็นเพราะตลาดไม่มีคู่แข่ง มีก็น้อยมาก เราไม่ได้สู้เรื่องลูกค้ากับใคร บทบาทของผมในตอนนั้นคือมีหน้าที่สร้างแพชชั่นของแพมให้เกิดขึ้นจริง”

ก่อนแต่งงานคุณต่อก็เริ่มทำเว็บไซต์ ทำช่องยูทูบ แนะนำ The Table by Chef Pam  ในโลกออนไลน์ ส่วนช่วงเสาร์ -อาทิตย์ ก็บินกลับจากสิงคโปร์มาก็ช่วยล้างจานในครัว เพราะตอนแรกนั้นเชฟแพมทำเองทั้งหมดตื่นเช้าเข้าตลาด เตรียมอาหาร จัดโต๊ะ มีคนช่วยแค่เก็บครัว ล้างจาน ช่วงปีกว่า ๆ ถึงจะเริ่มมีเชฟผู้ช่วย

ในปี 2015 TimeOut ยังเคยยกย่องให้ The Table เป็น “ร้านอาหารใหม่ที่ดีที่สุด”  นอกจากนี้ The Table ยังเคยปรากฏตัวในช่อง “The Great Big Story” (ร่วมกับ Amazing Thailand) ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 5 ล้านคนทั่วโลก ภายใต้ชื่อวิดีโอ “อาหารที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ อยู่ในบ้านของเชฟแห่งนี้”

รางวัลและชื่อเสียงที่ได้รับยิ่งตอกย้ำความมั่นใจ จนเมื่อราว 8 ปีก่อน ทั้งคู่จึงตัดสินใจก่อตั้งบริษัท โดยได้แรงบันดาลใจจากโมเดลของบริษัทหนึ่งในฮ่องกงที่มีร้าน  อาหารกว่า 20 แห่ง  ซึ่งแต่ละร้านมีจุดขายเฉพาะตัวไม่ซ้ำกัน

“ตอนนั้นผมกับแพมก็มีความรู้สึกว่าเจ๋งจัง  อยากเป็นแบบเขา นี่คือแพชชั่นตอนแรก เราเลยตั้งชื่อบริษัท THE X PROJECT  หมายถึงมีหลายโปรเจกต์ แต่ละโปรเจกต์จะเป็นร้านอาหารแบบไหนก็ได้”

ในขณะที่เธอมุ่งมั่นในการค้นหาเมนู ใหม่ ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าร่วมกับทีมที่อยู่ในครัว

คุณต่อก็พลิกชีวิตจากนักวิเคราะห์ช่วยวางแผนทางด้านการเงิน ด้านไอที ให้ลูกค้ารายอื่น ๆ มาช่วยวางแผนในด้านการตลาด การเงิน  ระบบหลังร้าน และภาพรวมการบริหารด้านอื่น ๆ ให้เชฟแพมแต่เพียงผู้เดียว

THE X PROJECT เริ่มต้น 

Smoked  by Chef Pam  ร้านเนื้อรมควัน คือร้านอาหารแรกของ THE X PROJECT หลังจากเชฟแพมจำเป็นต้องหยุด Chef’s Table เพื่อไปทำความฝันด้วยการทำร้านอาหารในหลาย ๆ รูปแบบให้เป็นจริง

Smoked เริ่มต้นจากความชอบรับประทานเนื้อ แต่หาเนื้อรมควันรับประทานได้ยาก และตัวเองถนัดอาหารประเภทเนื้ออยู่แล้ว เลยทำเองเลย แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย

“กว่าจะค้นพบความลับของวิธีการรมควันแบบ “ไฟอ่อนและช้า” ที่ต้องใช้เวลากว่า 10 ชั่วโมง ต้องทำซ้ำ ๆ หลายสิบครั้ง ทิ้งเนื้อไปหลายกิโล หมดฟืนไปเยอะมาก แต่มันคืองานท้าทายที่แพมชอบ”

เมื่อต้องใช้พื้นที่ในการรมควัน เลยต้องไปเปิดร้านไกลถึงศาลายา นครปฐม เพราะครอบครัวคุณต่อมีที่อยู่ที่นั่น

จุดแข็งคือร้าน Smoked ไม่มีคู่แข่งแน่นอนเพราะทำยาก ต้องใช้เวลา ต้องมีคนอยู่หลายกะ คนทำต้องคิดหนักกว่าเปิดร้านทั่วไป

เดือนแรกคนแน่นร้าน จากเพื่อนฝูง คนรู้จัก ลูกค้าจากร้านเดิม แต่พอเดือนที่ 2 ติดลบ

บทเรียนที่ได้คือ คนย่านนั้นไม่ได้ใช้จ่ายแบบเดียวกับคนในเมือง ตอนแรกเรามาแบบดีไซน์เมนูหรูหรามาก อาหารแต่ละจานทำแบบซับซ้อนหลายขั้นตอน  แต่เอาจริงลูกค้าไม่ได้ต้องการความพิถีพิถันขนาดนั้น  ในเมนูเดิมรูปก็ไม่มี มีแบบบรรยายเป็นตัวหนังสือ  แต่ตอนนี้ปรับใหม่ รูปตู้มต้ามเด่นชัดมาเลย

วันนี้ Smoked มีทั้งหมด 3 สาขา ศาลายา เอ็มควอเทียร์ พารากอน กำลังจะเปิดสาขาที่ 4  ที่เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน

“กล้า” กับ “บ้า”  ลงตัวเป็น “POTONG ”  

จุดเด่นที่แตกต่างของร้าน POTONG คือการเป็นร้านอาหารแบบ Fine Dining ที่ไม่ได้อยู่ในโรงแรมหรู หรือย่านคนรวยแบบสาทร, สุขุมวิท แต่กลับมาอยู่ใจกลางสำเพ็งบนตึกเก่า ๆ อายุ 120 ปีของบรรพบุรุษ

ต้องบอกว่าทั้งคู่ทั้งบ้าและกล้าในตอนนั้น  คือบ้าที่จะใช้เงินเก็บก้อนใหญ่มาลงทุน และกล้าที่จะมั่นใจว่าจะสามารถดึงคนเข้ามาในย่านนี้ได้

“เงินเก็บเกือบทั้งหมดมาลงที่ตรงนี้ครับ ขายทองที่เคยเป็นสินสอดในตอนแต่งงาน ทองรับไหว้ รับขวัญ  ดึงพ่อแม่มาร่วมทุน ทั้ง 2 ฝ่าย”

“เสียดายถ้าขายทองตอนนี้จะได้ราคาดีมาก แต่ถ้าไม่ขายวันนั้นวันนี้ก็ไม่มีที่นี่” เสียงเชฟแพมบ่นเบา ๆ

ส่วนความมั่นใจว่าต้องมีลูกค้าแน่นอนมาจากฐานลูกค้า The Table 6,000 คน  Smoked 4,000 คน ที่คิดว่าอย่างน้อยต้องมีที่แต่ละคนจะกลับมารับประทานคนละครั้งต่อปี ถ้าเขาประทับใจเขาก็บอกต่อ โจทย์สำคัญก็คือต้องสร้างประสบการณ์ที่นี่ให้พิเศษ  ทำให้การรับประทานข้าวที่นี่ไม่เหมือนที่ไหนในโลก

POTONG เป็นอาหารไทย-จีน รสชาติต้นตำรับ ทุกจานปรุงขึ้นภายใต้ปรัชญาขององค์ประกอบ 5 อย่าง คือ เกลือ (Salt), รสเปรี้ยว (Acid), เครื่องเทศ (Spice), เนื้อสัมผัส (Texture) และ “ปฏิกิริยาเมลลาร์ด” (Maillard Reaction) ซึ่งหมายถึงการนำอาหารมาผ่านความร้อนจนกลายเป็นสีน้ำตาลและมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน

ในปี 2023  เชฟ “แพม”  ได้รับรางวัล MICHELIN Thailand Opening of the Year Award ที่มอบให้กับเชฟ ซึ่งประสบความสำเร็จในการเปิดร้านอาหารใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยมีแนวคิดที่โดดเด่นในการนำเสนออาหารอย่างสร้างสรรค์ จนกลายเป็นกระแสที่ได้รับความสนใจจากวงการอาหารในประเทศ

บนชั้น 4 และ 5 ของอาคาร POTONG ยังมีห้องลับ “Opium Bar” พื้นที่แฮงเอาต์ ซ่อนอยู่ด้วย

“แต่ POTONG ก็ไม่ใช่ธุรกิจที่อู้ฟู่ได้กำไรเยอะนะครับ เพราะเป็นธุรกิจที่แพชชั่นมาก ๆ ต้องดีที่สุด พนักงานทั้งหมดรวมเชฟในครัวนี้ประมาณ 80 คน กำไรไม่เยอะ แต่เราแฮปปี้ที่จะทำ คือถ้ายอดจองไม่เต็มนี่มีปัญหา แต่นี่คิวจองเราประมาณ 2–3 เดือนแล้ว”

ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้า 35% เป็นคนไทย 65% เป็นลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วย America & Australia 22% Europe 18% South East Asia 16% Other Asia 13% Others 31%

ข้าวสารเสก 

ชื่อธรรมดาคนไม่จำ ครับ นี่คือเหตุผลง่าย ๆ เลยสำหรับการตั้งชื่อนี้ ข้าวสารเสก แล้วเสกอะไร”

เป็นร้านอาหารไทยในตึกเก่าย่านเยาวราชเหมือนกัน ราคาไม่แรงเหมือนโพธง เข้าถึงได้ง่ายกว่า อาหารมีกิมมิกเป็น 5 วัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ น้ำปลา ข้าว น้ำตาลโตนด พริก มะพร้าว ซึ่งเชฟนิยามว่าเป็นวัตถุดิบที่ทำให้อาหารไทยเป็นอาหารไทยและกลายมาเป็นชื่อเมนูทั้ง 5 หมวดคือ หอม กรุ่น ละมุน ร้อน และนัว

 อาหารญี่ปุ่นก็มา Tora Izakaya, นครปฐม

“เหตุผลแรกที่ทำอาหารญี่ปุ่นก็คือเชฟชอบ อีกแล้ว (หัวเราะ) เป็นคนชอบรับประทานอาหารญี่ปุ่น  2. แถวนั้นยังไม่มีใครทำ อยากรับประทานก็ต้องขับรถเข้าเมือง และ 3. เรามีที่ทำร้านซึ่งเป็นที่ของที่บ้านคุณต่ออยู่แล้ว ก็เช่าที่จากที่บ้านต้นทุนเลยไม่สูงมาก”

อีกอย่างคืออยากทดลองโมเดลราคาใหม่ด้วย อยากรู้ว่าขายในราคานี้ (เชฟแพมย้ำว่าถูกมาก) จะดึงวอลุ่มเข้ามาได้มั้ย แล้วเราสามารถอยู่ได้หรือเปล่า

“ถ้าทำสำเร็จก็เหมือนเราได้ปริญญาเพิ่มมาอีกใบ ราคาขายเริ่มต้นที่เมนูละ 30 บาท ข้าวหน้าแกงกะหรี่ 79 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ทำขายในห้างไม่ได้ กำไรต่อจานน้อยมาก ทุกอย่างที่นี่ดีหมดเลยครับ ขาดอย่างเดียวขาดคนกิน” คุณต่อเสริมพร้อมหัวเราะ

ปิ้งย่างต้องมี “ระอุ” พร้อมระเบิดความแซ่บ เร็ว ๆ นี้

“คอนเซ็ปต์คร่าว ๆ คือเป็นร้านปิ้งย่างแบบไทย ๆ แต่มีความเป็นสมัยใหม่ ขายเป็นคอร์สเมนู อธิบายได้แค่นี้ก่อนครับ (หัวเราะ) เป็นอีกเกมที่ท้าทายมาก ร้านหรูมากอยู่ในพารากอน แต่ไม่ธรรมดาอีกแน่นอน”

THE X PROJECT ปิดฉากในช่วงเวลานี้ด้วยความคิดที่จะเปิดร้านขาย “สาโท” ที่ทำเองหมักเอง แต่ปรุงให้เป็นเครื่องดื่มที่มีระดับเพิ่มขึ้นอีกเลเวลหนึ่ง ดื่มง่ายขึ้นไม่ต่างกับการกินไวน์ข้าวของคนไทย เสิร์ฟพร้อมหอยทอดในรูปแบบที่ล้ำไปอีกระดับหนึ่งเหมือนกัน

“ญี่ปุ่นมีสาเก เกาหลีมีโซจู เขามีวัฒนธรรมการกินดื่มที่สนุก คนไทยเราก็มีสาโท ทำไมเอามาเล่นใหญ่ไม่ได้ นี่คือซอฟต์พาวเวอร์ที่แท้จริงนะครับ อย่างเกาหลี รัฐบาลมีงบประมาณช่วยเหลือในเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ด้านอาหาร แต่เมื่อของเราไม่มี ก็ต้องอาศัยเชฟระดับแนวหน้านี่ล่ะช่วยกัน โปรโมตความเป็นไทย”

โปรเจกต์นี้กว่าจะสำเร็จ น่าจะเมากันทุกวัน เพราะชอบเรื่องการดื่มทั้งคู่

แรงบันดาลใจใหม่ ๆ ที่ไม่สิ้นสุด มาจากไหน  

“การมีลูกค่ะ” เชฟแพมหัวเราะเสียงดัง เพราะกำลังวางแผนมีลูกคนที่ 2 อีก 2 เดือนข้างหน้า ก่อนที่จะบอกว่ามีความสุขกับการทำอาหาร คิดเมนูใหม่ ๆ ออกมาแล้วมันอร่อย คนชอบ รวมทั้งมีความสุขกับทีมที่โตขึ้นเรื่อย ๆ และต้องการให้น้อง ๆ ในทีมก้าวหน้าขึ้นด้วย เลยกลายเป็นแรงผลักดันหนึ่งที่ทำให้ต้องคิดขยายร้าน ขยายแบรนด์ตลอดเวลา

ส่วนในเรื่องการเตรียมตัวตั้งรับกับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ คุณต่อบอกว่าต้องติดตามข้อมูลตัวเลขหลังบ้านอย่างใกล้ชิด ราคาวัตถุดิบมีแนวโน้มขึ้นลงอย่างไร กลุ่มลูกค้าลดลงเพราะอะไร วันข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้น ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และแก้เกมให้เร็ว ปรับแผนให้ทัน

เวลาท้อ หรือเหนื่อย เชฟแพมจะรีเฟรชตัวเองด้วยการหาของรับประทาน เธอมีร้านโปรดด้วย

“ชอบกินก๋วยเตี๋ยว ถ้าอยู่แถวบ้านคุณแม่ย่านสุขุมวิท คือก๋วยเตี๋ยวไก่รุ่งเรือง  ก๋วยเตี๋ยวไก่สายน้ำผึ้ง  แถวศาลายา  ก็ ก๋วยเตี๋ยวตากับยาย”

คือแต่ละวัน แพมเจอคนเยอะมาก ต้องคอยดูแล พูดคุยกับลูกค้า กลับบ้านทีเหมือนปิดสวิตช์ ไม่พูดเลยค่ะ วันหยุด ก็อยากอยู่กับบ้านกับลูกไม่อยากเจอใครแล้ว ทุกวันกลับไปบ้านได้นั่งดื่ม พร้อมกับคุยงานด้วยกันเล็ก ๆ น้อย ๆ คือช่วงเวลาที่สุขสงบของเรา

“เวลาเราเศร้า เหนื่อย ท้อ หรือ ผิดหวังอะไรมาก ๆ แค่ได้กอดกัน ค่อย ๆ นั่งคุยหาทางออกกันไป ก็ดีขึ้นแล้ว ตราบใดที่มีกันและกัน ถกกันเรื่องงานมีตลอด แต่ เถียงกัน อาจจะไม่ค่อยมี”

Next Mission

เราจะพัฒนา POTONG ไปเรื่อย ๆ สำหรับร้านอาหารที่มีอายุ  4 ปี นับว่ายังเด็กอยู่มาก ยังมีอะไรหลายอย่างที่สามารถทำต่อไปได้เรื่อย ๆ ปลายปีนี้ก็จะปรับปรุงร้านอีกครั้งหนึ่ง จัดที่นั่งใหม่ ให้ดูเป็นส่วนตัวมากขึ้นแต่ต้องยอมให้มีที่นั่งน้อยลงอีก

ถึงแม้มีนักลงทุนต่างชาติติดต่อเข้ามาหลายรายว่าต้องการให้ร้านอาหารแบบ POTONG ไปเปิดในมุมอื่น ๆ ของโลก แต่เชฟแพมย้ำว่า

“POTONG จะไม่มีวันมีสาขา เพราะร้านนี้ไม่ใช่แค่ร้านอาหาร แต่คือประวัติศาสตร์ของครอบครัว ความทรงจำของตึกอายุ 120 ปี และเรื่องราวเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลก”

บ่ายคล้อย  แสงแดดกำลังทอแสงสวยสาดมายังบริเวณดาดฟ้าที่นั่งสัมภาษณ์

Marketeer จบบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ ด้วยความ “อิ่ม” หากเป็นอาหารคุณต่อและเชฟแพมจะเป็นจานหนึ่งที่มีส่วนผสมที่ลงตัวที่สุด ♦

 

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer