อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจ กำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งการแข่งขันระดับโลก ปัญหา Overtourism และการกระจุกตัวของรายได้ เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้
ภาคีภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา จึงร่วมมือจัดทำโครงการ “การกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์ จากการวิเคราะห์ Mobility Data” โดยความร่วมมือระหว่าง ทรูคอร์ปอเรชั่น, ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบเพื่อสังคม (Social Design Lab) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้การสนับสนุนของ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) เพื่อวางรากฐานการท่องเที่ยวไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด “Regenerative Tourism”

ผศ. ดร. ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย
ผศ. ดร. ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย ผู้ช่วยคณบดีและรองผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบเพื่อสังคม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิชาการผู้คลุกคลีกับประเด็นการพัฒนาเมืองและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ กล่าวว่า “แม้ปัจจุบัน ภาพรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ดูเป็นความหวังเดียวของไทยจะดูไม่สดใสนัก แต่ไทยควรใช้โอกาสนี้ เพื่อวางแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวระยะยาว เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และสร้างความเข้มแข็งให้อุตสาหกรรมภายใต้บริบทใหม่ ภายใต้การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากการที่หลายประเทศชูนโยบายวีซ่าฟรี ความผันผวนของค่าเงิน ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวมายังไทย”
1. วิกฤตท่องเที่ยวไทย: 3 ปัญหาหลักที่ต้องเร่งแก้ไข
ผศ. ดร. ณัฐพงศ์ เริ่มจากการประเมินปัญหาเรื้อรังที่ฉุดรั้งศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
1. ผลิตภาพต่ำ: แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะสูงติดอันดับโลก แต่รายได้เฉลี่ยต่อหัวยังต่ำกว่าคู่แข่งอย่างสิงคโปร์และญี่ปุ่นอย่างมาก สะท้อนถึงการพึ่งพาการท่องเที่ยวราคาถูก และการขาดการสร้างมูลค่าเพิ่ม
2. Overtourism: หลายพื้นที่ท่องเที่ยวประสบภาวะ “นักท่องเที่ยวล้นเมือง” ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ และสร้างความขัดแย้งกับชุมชนท้องถิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
3. รายได้กระจุกตัว: รายได้จากการท่องเที่ยวส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเมืองหลักเพียงไม่กี่แห่ง เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ และชลบุรี สูงถึงกว่า 70% ทำให้การกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่นยังไม่ทั่วถึง
2. Regenerative Tourism: กุญแจสู่การเติบโตที่ยั่งยืน
ผศ. ดร. ณัฐพงศ์ เน้นว่า ถึงเวลาที่ไทยต้องพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ด้วยการวางแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวระยะยาว และมุ่งสู่ Regenerative Tourism หรือการท่องเที่ยวที่สร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้กับพื้นที่ในระยะยาว ที่ไม่เพียงสร้างรายได้ แต่ยังฟื้นฟูและสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมท้องถิ่น
หัวใจสำคัญของแนวทาง Regenerative Tourism คือ “การบริหารจัดการเชิงพื้นที่” ที่เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สร้าง “ประสบการณ์ที่ดี” ให้นักท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการรักษา “อัตลักษณ์” ของแต่ละท้องถิ่น
“การท่องเที่ยวเป็นกิจกรรมที่สร้างการกระจายมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม การสร้างยุทธศาสตร์บริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างชาญฉลาด จึงเป็นกลไกสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะที่ประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ”
3. “ดาต้า” หัวใจขับเคลื่อนประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
สิ่งที่เข้ามาเติมเต็มการพัฒนายุทธศาสตร์การท่องเที่ยว Regenerative Tourism คือ “ข้อมูล” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Mobility Data จากการใช้โทรศัพท์มือถือ ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวได้อย่างแม่นยำ
“ข้อมูลช่วยให้เรากำหนดเป้าหมายและทิศทางการพัฒนาที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกจุด สร้างประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรสาธารณะ และตอบโจทย์ความต้องการของสังคม ในสภาวะการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวกับต่างประเทศอย่างในปัจจุบัน ประเทศไทยต้องการการออกแบบนโยบายด้านการท่องเที่ยวบนหลักฐานเชิงประจักษ์ เพื่อทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวสร้างผลลัพธ์อย่างที่พวกเราคาดหวังอย่างแท้จริง”
4. ปักธง “คลัสเตอร์การท่องเที่ยว” ทั่วไทย
ความร่วมมือในโครงการ “การกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในเมืองน่าเที่ยวผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์จากการวิเคราะห์ Mobility Data” ซึ่งดำเนินงานภายใต้มาตรการข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด
ทีมวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ใช้ Mobility Data จากฐานข้อมูลผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือของทรูและดีแทค ที่ยินยอมให้ใช้ข้อมูลเพื่อประโยชน์สาธารณะและผ่านการเข้ารหัส (encrypted data) เพื่อไม่ระบุตัวตน จำนวน 25 ล้านบัญชีต่อเดือนสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย และกว่า 80,000 บัญชีต่อเดือนสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ครอบคลุมระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2566 ถึง 31 กรกฎาคม 2567 เพื่อวิเคราะห์การเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่ม
นำมาสู่การพัฒนาคลัสเตอร์การท่องเที่ยว คือ การจัดกลุ่มจังหวัดที่ควรร่วมกันพัฒนาเส้นทางการเดินทางและบริการเพื่อเพิ่มศักยภาพการดึงดูดการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่หลายประเทศใช้เพื่อส่งเสริมการกระจายนักท่องเที่ยวไปสู่พื้นที่ใหม่ที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่เคยเดินทางไปหรืออาจจะยังไม่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวมากนัก
ทั้งนี้ คลัสเตอร์การท่องเที่ยวอาจเป็นการจับกลุ่มกันระหว่างจังหวัดที่เป็นเมืองหลักกับเมืองรองโดยรอบ หรืออาจเป็นการจับกลุ่มระหว่างเมืองรองที่ยังขาดพลังในการดึงดูดการท่องเที่ยว

ทีมวิจัยได้ใช้เทคนิควิธีการวิเคราะห์เครือข่าย (Network analysis) วิเคราะห์ Mobility Data ของนักท่องเที่ยวเพื่อค้นหาเครือข่ายการเดินทางระหว่างจังหวัดเมืองรองกับจังหวัดโดยรอบ ซึ่งพบว่ารูปแบบการเดินทางของนักท่องเที่ยวสามารถจับกลุ่มคลัสเตอร์ได้ทั้งหมด 21 กลุ่มจังหวัด
ทีมนักวิจัยได้นำข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยว รายได้จากการท่องเที่ยว ปริมาณการเดินทางระหว่างจังหวัด และระยะเวลาการพำนักในแต่ละคลัสเตอร์มาวิเคราะห์เพื่อค้นหาคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพสูงในการส่งเสริมการกระจายการท่องเที่ยวไปสู่เมืองรอง

ทีมนักวิจัยได้คัดเลือก “6 คลัสเตอร์นำร่อง” ที่มีศักยภาพสูงในการส่งเสริมการกระจายการท่องเที่ยวไปสู่เมืองรอง (*หมายถึง เมืองรอง) ได้แก่
– ภาคเหนือ: เชียงใหม่-ลำปาง*-ลำพูน*
– ภาคอีสาน: บุรีรัมย์*-สุรินทร์*-ศรีสะเกษ*
– ภาคกลาง: ชัยนาท*-สุพรรณบุรี*-อุทัยธานี*
– ภาคตะวันออก: จันทบุรี*-ตราด*
– ภาคตะวันตก: สมุทรสาคร-สมุทรสงคราม*-เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์
– ภาคใต้: นครศรีธรรมราช*-พัทลุง*
5. จากอินไซต์สู่การปฏิบัติ: The Cloud Journey: Routes to Roots
| “จันทบุรี-ตราด” คลัสเตอร์ท่องเที่ยวส่งเสริมเมืองรอง
กับกลยุทธ์ “Longstay” |
||
| ภาค | ตะวันออก | |
| กลุ่มคลัสเตอร์ | จันทบุรี – ตราด | |
| คะแนนเฉลี่ยจากดัชนีชี้วัดศักยภาพของคลัสเตอร์ | 49.87 คะแนน อยู่อันดับที่ 8 จากกลุ่มคลัสเตอร์ทั้ง 21 กลุ่มจังหวัด | |
| ลักษณะนักท่องเที่ยวที่โดดเด่นในคลัสเตอร์ | กลุ่มนักท่องเที่ยวที่สนใจในศิลปะ วัฒนธรรม และอาหารการกิน | |
| ตัวอย่างแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม | – ชุมชนริมนํ้าจันทบูร
– อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล – หาดเจ้าหลาว – ศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน |
|
| ประเด็นการพัฒนา | รายได้สูง แต่คนน้อย: จำนวนผู้เยี่ยมเยือนน้อยกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ แต่ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวสูง เนื่องจากมีระยะเวลาพำนักนานกว่าคลัสเตอร์อื่น ๆ ทำให้รายได้รวมสูงกว่าค่าเฉลี่ย
กระจุกตัว: ‘จันทบุรี’ เป็นศูนย์กลางดึงดูดนักท่องเที่ยวกลางวัน 78.4% และพักค้าง 71.85% ขณะที่ ‘ตราด’ รองรับนักท่องเที่ยว กลางวัน 21.6% และพักค้าง 28.15% การเดินทางในคลัสเตอร์ต่ำ: มีปริมาณการเดินทางระหว่างจังหวัดภายในคลัสเตอร์ 441,244 ทริปต่อปี ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ฤดูกาลท่องเที่ยวเด่นชัด: การท่องเที่ยวสูงช่วงเมษายน – มิถุนายน และลดลงอย่างเห็นได้ชัดช่วงกรกฎาคม – กันยายน และมีสัดส่วนการท่องเที่ยวแบบพักค้างสูง กระจายตัวจำกัด: นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่กระจุกตัวในพื้นที่ริมชายฝั่งทะเล จำเป็นต้องมีแผนกระจายนักท่องเที่ยวสู่พื้นที่เกษตรกรรม |
|
| ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย | – พัฒนาโปรแกรมการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มระยะเวลาการเข้าพักและกระจายการเดินทางสู่พื้นที่เกษตรกรรม
– ดึงดูดกลุ่ม Longstay เช่น Workation, Farming Resort, Family Camp – เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับและกระจายนักท่องเที่ยวไปยังพื้นที่เกษตรกรรมภายในคลัสเตอร์ – ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร และวิถีชีวิตวัฒนธรรมเกษตรกรรม |
|
| ที่มา: โครงการ “การกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์ จากการวิเคราะห์ Mobility Data” / พ.ค. 2025 | ||
การวิเคราะห์ Mobility Data ทำให้ทราบถึงข้อมูลเชิงลึกด้านการท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ และสามารถออกแบบแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละคลัสเตอร์ เพื่อให้ผลการวิจัยเกิดประโยชน์สูงสุด ทีมนักวิจัยและทรู คอร์ปอเรชั่น ยังได้ร่วมมือกับ The Cloud สร้างสรรค์โครงการ The Cloud Journey: Routes to Roots ซึ่งนำเสนอ 6 เส้นทางท่องเที่ยว 6 วัฒนธรรมใน 6 ภาค เพื่อสำรวจรากวัฒนธรรมไทย ซึ่งอิงตามผลการวิเคราะห์ “6 คลัสเตอร์นำร่อง” จาก Mobility Data ได้แก่

บรรยากาศเยี่ยมชม ‘สุธีร์ ออร์แกนิก ฟาร์ม’ สวนผลไม้ออร์แกนิกในจังหวัดจันทบุรี

บรรยากาศสาธิตการทำเครื่องแกงจากวัตถุดิบท้องถิ่นในจังหวัดจันทบุรี-ตราด
1. Food Route: จันทบุรี-ตราด (ภาคตะวันออก) – เส้นทางกินเพื่อรู้จักวัฒนธรรมอาหาร ซึ่งกิจกรรมเพิ่งจัดกันไปในช่วงวันที่ 9 – 12 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา
2.Lanna Culture Route: เชียงใหม่-ลำพูน-ลำปาง (ภาคเหนือ) – เส้นทางเรียนรู้วัฒนธรรมล้านนา
3. Volcano Route: บุรีรัมย์-สุรินทร์-ศรีสะเกษ (ภาคอีสาน) – เส้นทางสำรวจวัฒนธรรมจากภูเขาไฟ
4. River Route: สุพรรณบุรี-อุทัยธานี-ชัยนาท (ภาคกลาง) – เส้นทางเรียนรู้วัฒนธรรมสัมพันธ์สายน้ำ
5. Flavour Route: สมุทรสาคร-สมุทรสงคราม-เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ (ภาคตะวันตก) – เส้นทางสัมผัสรสชาติวัตถุดิบอาหาร
6. Nature Route: นครศรีธรรมราช-พัทลุง (ภาคใต้) – เส้นทางสำรวจและสัมผัสธรรมชาติ
โครงการนี้นับเป็นโชว์เคสสำคัญของการใช้ Mobility Data ในการออกแบบนโยบายสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ แม่นยำ และบูรณาการ เพื่อผลักดันการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรอง ผ่านกลยุทธ์ “การพัฒนาคลัสเตอร์การท่องเที่ยว” อันจะนำไปสู่การเพิ่มรายได้ กระจายความมั่งคั่ง และส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
