Grab จากแอปเรียกรถ สู่แอปที่ชีวิตขาดไม่ได้ เจาะกลยุทธ์ที่ทำให้ Grab ครองใจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พูดถึงแอปที่แทบทุกคนต้องมีติดมือถือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก Grab
จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในมาเลเซียเมื่อปี 2012
Grab เติบโตอย่างรวดเร็วจากแค่แอปเรียกรถธรรมดา ๆ
กลายเป็น Super App ที่ให้บริการแทบทุกอย่างในชีวิตประจำวัน
ตั้งแต่เรียกรถ สั่งอาหาร ส่งของ ไปจนถึงบริการทางการเงิน
แต่ที่น่าสนใจกว่าการเติบโตของ Grab คือ “วิธีคิด”
ที่ทำให้ Grab ครองใจคนในแต่ละประเทศ ซึ่งแตกต่างกันทั้งวัฒนธรรม พฤติกรรม และกฎหมายท้องถิ่น
แล้วGrabทำยังไงถึงได้ครองใจคนได้ขนาดนี้?
คำตอบคือ กลยุทธ์ที่ “ยืดหยุ่น” ปรับเปลี่ยนตามพื้นที่ และให้ความสำคัญกับความเป็นท้องถิ่นอย่างแท้จริง
.
ปรับบริการให้เข้ากับแต่ละประเทศจริง ๆ
ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Uber ใช้โมเดลเดียวกันทั่วโลก
Grabกลับเลือกปรับทุกอย่างตามวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละประเทศเลย
ที่อินโดนีเซียหรือเวียดนาม คนใช้มอเตอร์ไซค์เป็นชีวิตประจำวัน
Grabก็เปิดบริการ GrabBike มารองรับ
ที่ไหนคนยังใช้เงินสดเยอะ Grabก็เพิ่มตัวเลือกการชำระเงินสดเข้าไป
แม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ ในแอป อย่างภาษา เมนู และปุ่มต่าง ๆ
Grabก็ปรับให้เข้ากับประเทศนั้นจริง ๆ ไม่ใช่แค่แปลภาษาเท่านั้น
.
รู้จริง เพราะลงพื้นที่จริง
Grabไม่ได้ศึกษาตลาดแค่จากตัวเลขหรือรายงาน
แต่ผู้บริหารระดับสูง รวมถึง Anthony Tan ซีอีโอของบริษัทก็ลงพื้นที่จริงด้วยตัวเอง
เคยไปส่งอาหาร เพื่อเข้าใจชีวิตจริงของคนขับ ว่าต้องเจอกับอะไรบ้างในแต่ละวัน
Grabยังเน้นการพูดคุยกับคนขับและลูกค้าบ่อยๆ
รวมถึงจัดอบรมพัฒนาทักษะด้านการเงิน และสร้างโอกาสระยะยาวให้คนขับด้วย
กลยุทธ์นี้ทำให้คนไว้ใจGrabมากขึ้น และกลายเป็นจุดแข็งสำคัญของบริษัท
.
ขยายบริการจากเรียกรถ สู่ Super App เต็มรูปแบบ
Grabไม่ได้หยุดแค่บริการเรียกรถ พอมีฐานผู้ใช้เยอะแล้ว ก็ขยายบริการต่อทันที
เมื่อมีฐานลูกค้าที่ใช้งานบ่อย ๆ แล้ว Grabก็ขยายบริการออกไปเรื่อย ๆ ทั้ง
GrabFood (ส่งอาหาร), GrabExpress (ส่งพัสดุ), GrabMart (ซื้อของ)
และบริการทางการเงินอื่น ๆ
ผลคือผู้ใช้แทบจะ “ไม่ออกจากแอป” แล้ว เพราะเช้าเรียกรถ กลางวันสั่งอาหาร เย็นสั่งของเข้าบ้าน ทั้งหมดทำในGrabหมดเลย
จากแค่แอปเรียกรถ จึงกลายเป็น “แอปประจำชีวิต” ที่ขาดไม่ได้
.
เข้าซื้อกิจการ ถูกที่ ถูกเวลา
ปี 2018 Grabเข้าซื้อ Uber ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งเป็นจังหวะสำคัญที่เปลี่ยนเกมไปเลย
การแข่งขันที่ดุเดือดหยุดลง
Grabได้ทั้งผู้ใช้งาน คนขับ และข้อมูลจาก Uber ทันที
Uber ถอนตัวไป Grabกลายเป็นผู้นำตลาด
การซื้อกิจการนี้ไม่ใช่แค่การเอาชนะคู่แข่ง
แต่เป็นการเติบโตอย่างรวดเร็ว จากการนำทรัพยากรที่ได้มาสร้างบริการต่อ
.
ทำงานร่วมกับรัฐ ปรับตัวตามกฎหมายท้องถิ่น
ธุรกิจในภูมิภาคนี้ไม่ง่าย เพราะกฎหมายแต่ละประเทศแตกต่างกันเยอะมาก
Grabเลือกทำงานใกล้ชิดกับภาครัฐ ศึกษากฎหมายอย่างละเอียด
และปรับบริการให้ไม่ขัดกับกฎแต่ละประเทศ
ในหลาย ๆ ที่ Grabถูกมองว่าเป็นพันธมิตรที่ช่วยพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะด้วยซ้ำ
แต่ในขณะเดียวกัน Grabก็ต้องจัดการเรื่องความกังวลเกี่ยวกับการผูกขาด
เพราะการเป็นเจ้าตลาดทำให้ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากรัฐบาลแต่ละประเทศด้วย
.
สร้างเครือข่ายจากคนขับและร้านค้าให้มั่นคง
ไม่มีแอปบริการไหนโตได้
ถ้าไม่มีคนขับหรือร้านค้าคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
Grabลงทุนหนักมากกับคนขับ ร้านอาหาร และพาร์ตเนอร์ต่าง ๆ
มีระบบคัดกรอง มีอบรม และให้สิทธิประโยชน์เพื่อให้คนขับรู้สึกอยากอยู่กับแอปไปนานๆ
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Grabมีการจองใช้บริการมากกว่า 2.3 ล้านครั้งต่อวันในปี 2024
เทียบกับ 11,000 ครั้งต่อวันในปี 2012
ตัวเลขนี้ไม่ได้แค่สะท้อนว่าคนชอบใช้ แต่สะท้อนถึงระบบหลังบ้านที่แข็งแรงและมีประสิทธิภาพด้วย
.
แอปที่กลายเป็นชีวิตประจำวันจริง ๆ
Grabไม่ได้ชนะเพราะเทคโนโลยีดีที่สุด
ไม่ได้มีทุนหนาที่สุด
และไม่ได้มาเร็วกว่าใคร
แต่ Grab ชนะเพราะกลยุทธ์ที่ “เข้าใจมนุษย์” ในแต่ละประเทศจริง ๆ
ตั้งแต่การออกแบบบริการ สื่อสารกับลูกค้า ทำงานร่วมกับรัฐ
ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายที่โยงกับชีวิตประจำวันของทุกคน
Grabจึงไม่ใช่แค่ “แอปเรียกรถ” อีกต่อไป
แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานในการใช้ชีวิตของเมืองใหญ่ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Source:
https://theedgemalaysia.com/article/grabs-daily-bookings-360-yearly-23-mil-over-5yr-period
A Brief History of Grab in Southeast Asia: transnationality, dominance and resistance
How Grab’s Localization Strategy Created a Unicorn Valued at $40 Billion
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
