คนส่วนใหญ่รู้จักบุรินทร์ในแง่ของการเป็นนักร้อง
คนส่วนหนึ่งรู้จักบุรินทร์ในแง่ของการเป็นนักธุรกิจกับการเป็นดีลเลอร์ของรถยนต์ค่ายดังไม่ว่าจะเป็น Mercedes-Benz, Honda และ Toyota (ในอดีต)
แต่จะมีสักกี่คนกันที่รู้ว่าในตอนนี้บุรินทร์ได้เริ่มทำธุรกิจใหม่ด้วยการทำคอมมูนิตี้มอลล์ที่ใช้เงินทุน (เฉพาะแค่ค่าก่อสร้าง) กว่า 300 ล้านบาท ในนามของ The Grove (เดอะโกรฟ) ที่อยากให้เป็นสวนหลังบ้าน ของคนในย่านสายไหม-หทัยราษฎร์
ที่บุรินทร์บอกกับ Marketeer ว่าตั้งแต่เกิดมา 40 กว่าปี ถึงจะเคยทำงานเยอะแค่ไหน แต่ไม่มีงานไหนหนักเท่ากับการทำ The Grove มาก่อน
จุดเริ่มต้นของการหันมาทำคอมมูนิตี้มอลล์
จากการที่โชว์รูมรถยนต์ตั้งอยู่บริเวณสายไหม-หทัยราษฎร์ บุรินทร์จึงมีความคุ้นเคยกับพื้นที่บริเวณนี้ และเล็งเห็นว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาพื้นที่บริเวณนี้มีการเติบโตเป็นอย่างมาก สะท้อนได้จากการที่มีหมู่บ้านตั้งอยู่ทุก 1-2 กิโลเมตรที่ขับรถผ่าน
ด้วยโอกาสตรงนี้ บุรินทร์จึงเกิดไอเดียที่อยากจะพัฒนาที่ดิน 15 ไร่ซึ่งในอดีตเคยเป็น vehicle control หรือพื้นที่ ๆ เคยเอาไว้สต็อกรถยนต์ให้มีมูลค่ามากขึ้น
ประกอบกับพื้นที่บริเวณสายไหม-หทัยราษฎร์เป็นพื้นที่ ๆ มี Demand แต่ยังมี Supply น้อย บวกกับไม่มีพื้นที่ไหนเอาไว้รองรับไลฟ์สไตล์ของคนเมืองทั้ง ๆ ที่มีหมู่บ้านเกิดขึ้นมากมาย
แถมถนนเส้นดังกล่าวยังมีรถสัญจรต่อวันไม่ต่ำกว่า 10,000 คันต่อวัน ยิ่งเป็นช่วง Rush Hour นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ บุรินทร์จึงตัดสินใจเพิ่มมูลค่าที่ดิน ด้วยการเปลี่ยน vehicle control ให้มาเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ในที่สุด
จากคอนเซปต์ของความเรียบง่าย สู่ไอเดียสวนหลังบ้าน
บุรินทร์เล่าให้เราฟังว่า ในตอนแรกมันคือคอมมูนิตี้มอลล์ที่มาในคอนเซปต์เรียบ ๆ ง่าย ๆ หรือเอาจริง ๆ เหมือนเป็นเพียงแค่พื้นที่ ๆ เปิดให้ร้านค้าต่าง ๆ มาเช่าก็เท่านั้นเอง
ถ้าทำทั้งที่แล้วไม่ดีก็อย่าทำเลย เพราะไม่อยากจะเสียเงินและแรงที่ลงไปแบบฟรี ๆ
สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจรื้อไอเดียเรียบ ๆ ง่าย ๆ นี้ออกไป แม้จะต้องลงมือสร้างให้ทันตามระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้วก็ตาม แล้วหันมาทำคอมมูนิตี้มอลล์ภายใต้คอนเซปต์ของสวนหลังบ้านที่หวังให้ผู้คนเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจกับต้นไม้ ด้วยเหตุผลที่ว่า
“ผมว่าตอนนี้ผู้คนเริ่มมองหาเรื่องของธรรมชาติกัน ไอเดียสวนหลังบ้านจึงกลายเป็นคอนเซปต์หลักของคอมมูนิตี้มอลล์นี้ แล้วอีกอย่างคือผมคิดว่า ถ้าทำแบบเรียบ ๆ ง่าย ๆ อย่างที่คิดไว้ในตอนแรก The Grove ก็คงจะเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ที่ไม่แตกต่างจากที่อื่น ๆ”
คอมมูนิตี้ Outdoor ที่เปิดให้คนเข้าในช่วงหน้าฝน
สร้างเสร็จแล้วไม่ใช่ว่าอุปสรรคจะหมดไป เพราะส่วนใหญ่แล้วคอมมูนิตี้มอลล์ที่เปิดใหม่มักจะดึงให้ผู้คนเข้ามาใช้บริการด้วยการทำอีเวนท์ แต่ The Grove กลับเป็นคอมมูนิตี้มอลล์แบบ Outdoor ที่เปิดในช่วงหน้าฝนพอดี
คราวนี้ทำไงให้คนเข้ามาเดินดีล่ะ ?
บุรินทร์จึงแก้โจทย์นี้โดยการใช้ ‘ความเป็นบุรินทร์ Groove Rider’ ด้วยการจัดมินิคอนเสิร์ตในร้านอาหารของตัวเองที่อยู่ใน The Grove เพื่อดึงให้คนเข้ามาในร้านอาหารและเข้ามาในคอมมูนิตี้โดยปริยาย
และผลที่ได้ก็ไม่ต่างจากร้านอาหารเวลาจ้างศิลปินมาเล่นในร้าน จนทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามา
เพียงแต่ในเคสนี้เขาไม่ต้องเสียค่าศิลปินเท่านั้นเอง
สร้างร้านอาหารเป็นของตัวเองไว้ข้างหน้า เพื่อสร้างคาแร็กเตอร์ของคอมมูนิตี้มอลล์
ดูแลคอมมูนิตี้มอลล์แล้ว ยังจะต้องมาดูแล Shab Shab Shabu และ Lambic สองร้านอาหารที่ตัวเขาเองเป็นเจ้าของ
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้อง Operate ทุกอย่างให้ออกมาดีได้ เพราะก็อย่างที่รู้ว่าธุรกิจร้านอาหารเป็นอะไรที่มีรายละเอียดมาก และเหตุผลที่ทำให้บุรินทร์ทำร้านอาหารก็ไม่ได้มีเพียงแค่ความชอบ แต่ยังรวมไปถึงการทำที่นี่ให้เป็นแหล่งรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้คน
“ผมอยากดึงความเป็นตัวเมืองเข้ามาอยู่ในย่านสายไหม-หทัยราษฎร์ อยากสร้างคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจนให้กับคอมมูนิตี้มอลล์ และคงไม่มีใครทำได้ถูกใจมากไปกว่าที่ผมจะทำเอง
ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่ท้าทายมากเลยนะ กับการดึงความเป็นตัวเมืองมาอยู่ในพื้นที่ชานเมืองแบบนี้ ตอนแรกก็แอบลังเลเหมือนกันว่ามันจะถูกจริตกับคนย่านนี้ไหม แต่พอมาเซอร์เวย์จึงได้รู้อินไซต์บางอย่างว่าจริง ๆ แล้วคนแถวนี้เวลาต้องการอะไรที่เป็นไลฟ์สไตล์ก็มักจะขับรถไปไกลถึงเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา
ผมเลยคิดว่าจริง ๆ แล้วมันมี Demand ของคนอยู่นะ แต่ขาด Supply ที่เข้ามาตอบสนองความต้องการ ก็เลยมั่นใจจะทำคอนเซปต์นี้ขึ้นมา และคิดว่าก็คงจะมีหลาย ๆ คนเหมือนกันที่ชอบแบบเดียวกับเรา”
ทำหลายอย่างให้สำเร็จทุกอย่างได้ยังไง
นอกจากการเป็นนักร้อง ดีลเลอร์รถยนต์ หรือเจ้าของคอมมูนิตี้มอลล์แล้ว บุรินทร์ยังมีธุรกิจทำอีเวนท์คอนเสิร์ต ตึกออฟฟิศให้เช่า และอื่น ๆ อีกมากมายที่พูดไปก็คงจะไม่หมด
แต่ทั้งหมดนี้กลับประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งเป้าไว้ ขัดกับสิ่งที่กูรูหลาย ๆ คนออกมาบอกว่าถ้าอยากทำอะไรต้องทำแค่อย่างเดียวแล้วโฟกัสไปกับมันให้มากที่สุดถึงจะสำเร็จ
เมื่อถามว่าเขาบริหารเวลายังไง แล้วทำไมถึงทำทุก ๆ อย่างให้ดีไปพร้อม ๆ กันได้ สิ่งที่บุรินทร์ตอบเรากลับมาก็คือ
“ทุกอย่างที่ผมทำต้องเป็นสิ่งที่ผมชอบ ผมชอบร้องเพลงก็ทำงานร้องเพลง ผมชอบรถก็ขายรถ ผมชอบร้านอาหารก็เปิดร้านอาหาร ผมชอบเรื่องไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ก็เปิดคอมมูนิตี้ที่รองรับไลฟ์สไตล์ของคนขึ้นมา
แต่ไม่ใช่ว่าชอบแล้วจะทำทันที เพราะมันยังต้องมีปัจจัยอีกหลาย ๆ อย่างกว่าจะทำให้สิ่งที่ชอบประสบความสำเร็จได้
แล้วปัจจัยที่ว่ามีอะไรบ้าง ?
อย่างแรกเลยคือมันต้องเริ่มจากความชอบก่อน เพราะความชอบมันจะกลายเป็น Passion ที่ทำให้เราอยู่กับสิ่ง ๆ นั้นได้
แต่พอชอบแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะลงมือทำได้ทันที เพราะก็ต้องมาดูอีกว่ามันจะสามารถพัฒนาไปเป็นธุรกิจได้ไหม ซึ่งการทำ Business Plan นี่แหละถือเป็น Checklist ที่ดีเลยว่าสิ่งที่เราจะทำมันจะไปรอดรึเปล่า
และด้วยความที่ทำหลาย ๆ อย่าง ผมเลยต้องตั้งเป้าของเวลาเอาไว้ ว่างานนี้ต้องคืนทุนภายในกี่ปี งานนี้ต้องเสร็จเมื่อไหร่ เพราะถ้าไม่ตั้งเป้า มันก็จะเป็นการผลัดสิ่งที่ต้องทำออกไปเรื่อย ๆ จนอาจจะทำให้งานไม่เสร็จ
และขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญที่สุด นั่นคือ ลงมือทำและไม่หยุดพัฒนา”
ทำคอมมูนิตี้มอลล์มันเหมือนกับการร้องเพลงยังไง
บุรินทร์เปรียบเทียบให้เราฟังว่า ความเหมือนของการร้องเพลงกับการทำคอมมูนิตี้มอลล์คือการที่ทั้งสองสิ่ง ‘เป็นงานบริการเหมือนกัน’ ซึ่งหมายถึงการใช้กำลังของเขาทำให้คนมีความสุข
“เวลาร้องเพลงผมก็อยากทำโชว์ให้ออกมาดีที่สุดเพื่อให้คนดูชอบแล้วกลับไปบอกกับเพื่อน ๆ ของเขาว่าคอนเสิร์ตพี่บุรินทร์สนุกมาก มันส์มาก แล้วเขาก็อยากจะกลับมาดูคอนเสิร์ตของผมอีก
เช่นเดียวกันกับ The Grove ผมอยากให้คนเข้ามาแล้วมีความสุข มาแล้วเข้ามาถ่ายรูปกับสวนของเรา เมื่อเขาแฮปปี้ มันก็ทำให้เขาอยากจะกลับมาที่คอมมูนิตี้มอลล์ของเราอีกครั้ง
และแน่นอนว่าทั้งการร้องเพลงและการทำคอมมูนิตี้มอลล์แบบไลฟ์สไตล์มันคือสิ่งที่ผมชอบทั้งคู่”
ลงทุน 300 ล้าน คาดจะคืนทุนภายใน 6 ปี
แม้จะเพิ่งเปิดให้ผู้คนเข้ามาใช้บริการได้เพียงเดือนกว่า ๆ แต่บุรินทร์ได้บอกกับ Marketeer ว่าในปัจจุบันมีรถยนต์ที่เข้ามาจำนวน 1,000 กว่าคัน มอเตอร์ไซค์ประมาณ 400 คัน และคนที่ walk-in เข้ามารวมแล้วน่าจะประมาณเกือบ 3,000 คนต่อวันแม้จะยังไม่ Grand Opening เลยก็ตาม
นั่นอาจเป็นเพราะมี Magnet ที่แข็งแรงอย่าง Max Value ขนาด 2,000 ตรม. มาเป็นตัวดึงดูดผู้คน
โดยในเดือน 11 ที่จะถึงนี้บุรินทร์มีแพลนที่จะเปิดตัวเฟสที่ 2 เพิ่มอีก 7.5 ไร่ ซึ่งถ้ารวมกับเฟสแรก The Grove จะมีพื้นที่รวมทั้งหมด 15 ไร่
ภายใต้งบในการก่อสร้าง 300 ล้านบาท ไม่รวมค่า Marketing และ Operation ต่าง ๆ
และคาดว่าจะคืนทุนภายในระยะเวลา 6 ปี
สุดท้ายแล้วเป้าหมายที่อยากจะทำให้ The Grove กลายเป็นแหล่งรวมสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจรของคนย่านสายไหม-หทัยราษฎร์
และสามารถ Break Even Point ภายในเวลา 6 ปี จะเป็นอย่างที่บุรินทร์ตั้งเป้าไว้หรือไม่ คงเป็นสิ่งที่ต้องมาดูกันต่อไป
แต่ประโยคหนึ่งที่บุรินทร์พูดกับเราในระหว่างที่สัมภาษณ์ นั่นคือ
“ถ้าทำอะไรต้องใส่ใจค้นคว้าพัฒนา เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ