เบียร์สิงห์ ทำอย่างไรแบรนด์จึงยัง Charming and Youthfulness ในสายตาคนรุ่นใหม่
หากพูดถึงแบรนด์ไทยที่ดำเนินธุรกิจมาเกือบ 100 ปีที่ยังคงแข็งแกร่ง “สิงห์” คือหนึ่งในนั้น
จากจุดเริ่มต้นของแบรนด์ต้องย้อนกลับไปปี ค.ศ. 1933 ในขณะนั้นเครื่องดื่มประเภทเบียร์เริ่มเป็นที่นิยมในบ้านเราแต่ยังต้องพึ่งการนำเข้าจากต่างประเทศ
จุดประกายความคิดให้เจ้าพระยาภิรมย์ภักดี ก่อตั้งโรงงานผลิตเบียร์แห่งแรกของไทยขึ้น ในชื่อบริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ และถือเป็นจุดเริ่มต้นของ “เบียร์สิงห์” ที่คนไทยรู้จักกันดี แบรนด์ที่ยึดมั่นในคุณภาพและความจริงใจกับผู้บริโภคมาตลอดกว่า 92 ปี ใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่วัตถุดิบที่ได้มาตรฐานสากล จนถึงกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันเพื่อรักษาคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ
และนอกจากจะมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพเบียร์ไทยให้ทัดเทียมกับสินค้าในระดับโลกแล้ว อีกแกนที่ขาดไม่ได้คือวิธีใน การสื่อสาร และการสร้างแบรนด์ในแบบฉบับ “สิงห์”
แม้ เบียร์สิงห์ จะถูกจัดให้อยู่ในเซกเมนต์ของเบียร์ Premium ก็จริง แต่ถ้าสังเกตถึงวิธีการสื่อสารของแบรนด์ สิงห์จะไม่เคยวาง Brand Positioning ให้ดูไกลเกินเอื้อม และไม่ใช่แค่เครื่องดื่มเพื่อเฉลิมฉลอง แต่เบียร์สิงห์ยังอยู่ในทุกช่วงเวลาของชีวิต ทั้งมื้ออาหาร ปาร์ตี้ ทำกิจกรรมหรือช่วงเวลาผ่อนคลายกับเพื่อนฝูง…
สิ่งที่น่าสนใจคือ เบียร์สิงห์สามารถสร้างสมดุลระหว่างความเป็นแบรนด์ระดับตำนาน กับความร่วมสมัยที่เข้าใจคนรุ่นใหม่ได้อย่างแนบเนียน ผ่านการรักษาคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ ผสมผสานทั้งการสื่อสารภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่สง่างาม และน่าภาคภูมิใจในฐานะเครื่องดื่มระดับไอคอนิกของไทยที่โด่งดังไปทั่วโลก

ขณะเดียวกันก็พัฒนาแบรนด์คาแรกเตอร์ให้ทันกับรสนิยมและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะกลยุทธ์การสื่อสารที่สามารถเชื่อมโยงได้ทั้งคนรุ่นใหม่และผู้บริโภคดั้งเดิม โดยไม่ละทิ้งจุดยืนของความเป็นแบรนด์ไทยที่มีคุณภาพ
และแน่นอนว่ารักษาแบรนด์ให้ยืนหยัดได้ยาวนานเกือบร้อยปีไม่ใช่เรื่องง่าย…
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งความท้าทายในการสร้างแบรนด์ในยุคนี้ต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นภารกิจของ “เบียร์สิงห์” จึงไม่ใช่เพียงการรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้เท่านั้น แต่ยังต้องรีเฟรชตัวเองให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่มีตัวเลือกและการรับสารจากแบรนด์ต่าง ๆ จากทั่วโลกผ่านหน้าจออยู่ตลอดเวลา

คุณธิตินันท์ ชุ่มภาณี ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาดแบรนด์แอลกอฮอล์ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด หัวเรือใหญ่ที่ดูแลแบรนด์ ‘เบียร์สิงห์’ ในปัจจุบัน ระบุว่า …
“เบียร์สิงห์อยู่คู่ประเทศไทยมา 92 ปีแล้ว การที่เราจะทำให้แบรนด์ดูน่าตื่นเต้นทันสมัยอยู่ตลอดเวลาเป็นงานที่หนักและท้าทายมาก เพราะเราไม่ได้แข่งกับแค่แบรนด์ในประเทศ แต่ต้องสู้กับแบรนด์ระดับโลกที่อยู่บนหน้าจอของผู้บริโภคตลอดเวลา ดังนั้นจึงต้องพัฒนาแบรนด์อยู่เสมอ
และกลยุทธ์สำคัญที่เบียร์สิงห์เลือกใช้ในการรีเฟรชแบรนด์ คือการศึกษาผู้บริโภคยุคใหม่อย่างละเอียดและลึกซึ้ง เพราะผู้บริโภคในวันนี้มีมุมมองและความต้องการที่เปลี่ยนไปจากอดีต
สิงห์จึงให้ความสำคัญกับ “การสร้างคาแร็คเตอร์แบรนด์ให้สามารถเชื่อมโยงกับคนรุ่นใหม่ได้อย่างจริงใจ” ซึ่งให้มองเรื่องความคุ้มค่าและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มากยิ่งขึ้น ซึ่งเบียร์สิงห์ยังคงสามารถรักษาความเชื่อมั่นนี้ไว้ได้ และสามารถปรับแต่งแบรนด์คาแรกเตอร์ให้ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป

“ความหนุ่มที่มีเสน่ห์ (Charming and Youthfulness) คือคอนเซ็ปต์หลักที่เบียร์สิงห์ใช้เป็นแกนหลักของการสื่อสาร ซึ่งถือว่าเป็นโจทย์ที่ยาก เพราะความหนุ่มในยุคนี้ไม่ได้จำกัดเพียงอายุ แต่หมายถึงการเข้าถึงรสนิยม ไลฟ์สไตล์ และอารมณ์ของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง
การรักษาแบรนด์ให้หนุ่มอยู่เสมอ… ต้องเริ่มจากการเข้าใจผู้บริโภคอย่างแท้จริงว่า คนยุคนี้ชอบฟังเพลงแนวไหน สนใจกีฬาอะไร งานอดิเรกของเขาคืออะไร และไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป
เราจึงต้องคอยอัปเดตและ ปรับคาแรกเตอร์ของแบรนด์ให้ตรงกับสิ่งที่เขารู้สึกจริง ๆ โดยไม่ละทิ้งจุดยืนของความเป็นแบรนด์ไทยที่มีคุณภาพ และเห็นได้ชัดว่าในสิ่งที่เราพยายามศึกษา และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบโจทย์ไปยังกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ ได้ผลตอบรับกลับมาเป็นอย่างดี”
หากให้หยิบยกตัวตัวอย่างที่เป็นไฮไลต์ในการเติมความเฟรชให้กับแบรนด์ที่น่าสนใจคงหนีไม่พ้นการร่วมงานกับศิลปินดนตรี หรือแฟชั่นที่มีคาแรกเตอร์สอดคล้องกับแบรนด์ ทำให้แบรนด์สามารถส่งสารเรื่องความหนุ่มและเสน่ห์ได้โดยไม่รู้สึกฝืน

นอกจากนั้น เบียร์สิงห์ยังใช้กลยุทธ์ในการสร้าง Brand Experience เชื่อมใจผู้บริโภค เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค ผ่านแคมเปญสื่อสารสำคัญอย่าง “ความสุขมีได้ทุกวัน” แคมเปญที่ต่อยอดจากการรู้จัก Consumer Insight อย่างลึกซึ้ง โมเมนท์การสังสรรที่ผู้บริโภคมองหา
ซึ่งพบว่าคนรุ่นใหม่ในยุคนี้ไม่ได้มองหาแค่ความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังให้คุณค่ากับ “ความสุขเล็กๆ” ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เบียร์สิงห์จึงหยิบ Insight นี้มาตีความให้เข้ากับแบรนด์ ผ่านแนวคิดว่าเครื่องดื่มอย่างเบียร์ไม่ได้ดื่มแค่ในวันพิเศษ แต่สามารถอยู่ในทุกวันธรรมดาที่มีความหมายได้ใช้การเล่าเรื่องในแคมเปญจึงไม่เน้นความยิ่งใหญ่แต่กลับเต็มไปด้วยโมเมนต์เรียบง่าย
เช่น การได้ออกไปเที่ยวแล้วเจอวิวสวยๆ ได้ทำอาหารร่วมกับคนที่บ้าน ได้ออกไปทำกิจกรรมกับคนที่รัก ได้ส่งต่อโมเมนต์ความสุขให้กับคนอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นความสุขจากเรื่องราวเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน ที่เชื่อมโยงกับอารมณ์ ความรู้สึก และแมชต์กับตัวตนของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง
สรุปสุดท้าย… สิ่งที่เราได้เห็นจากการสร้างแบรนด์ในแบบฉบับของ เบียร์สิงห์ยังคงรักษารสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ที่นักดื่มจดจำได้ พร้อมกับกล้าที่จะรีเฟรชแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ผ่านการเข้าใจอินไซต์ผู้บริโภค และสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของกลุ่มเป้าหมาย ยังขยายไลน์สินค้าเพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Singha Lite สำหรับผู้ที่ชอบเบียร์เบา หรือ Singha Reserve สำหรับกลุ่มพรีเมียมโดยไม่ทิ้ง “สิงห์ ออริจินัล” ที่ยังคงความเป็นต้นตำรับ
สิงห์ยังเห็นคนรุ่นใหม่ไม่เพียงเป็นผู้บริโภค แต่ยังเป็นพลังขับเคลื่อนวัฒนธรรม จึงร่วมมือกับครีเอเตอร์หลากหลายวงการ ทั้งดนตรี แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ และกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมกับแบรนด์อย่างจริงจัง
ทั้งหมดนี้คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ เบียร์สิงห์ ยังคงเป็นแบรนด์ที่ “หนุ่ม” และเต็มไปด้วย “เสน่ห์” สามารถครองใจผู้บริโภคยุคใหม่ แม้เวลาจะผ่านไปนานเกือบร้อยปีหรือจะอีกร้อยปีข้างหน้าก็ตาม
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
