เวียดนามในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง โดยมีหลักฐานมากมายที่ยืนยันถึงเรื่องนี้ ทั้งการเป็นฐานการผลิตของบริษัทชื่อดังระดับโลกมากมาย และการที่คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มีการศึกษาดีและต่างก็หวังถึงอนาคตที่สดใส

นอกจากนี้เศรษฐกิจของเวียดนามก็มีอัตราเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 5% ต่อปี จนประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม ASEAN ต้องอิจฉา

ขณะเดียวกัน เวียดนามยังเป็นประเทศแรกของกลุ่มนี้ ที่ขอเจรจากับสหรัฐฯ เรื่องกำแพงภาษี จนที่สุด ตกลงกันได้ที่เพียง 20% ซึ่งถือว่าต่ำสุดในกลุ่ม ASEAN โดยนี่ย่อมทำให้การส่งออกไปยังสหรัฐฯ ของเวียดนามจะเติบโตขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้

ปัจจัยบวกของเวียดนามยังไม่หมดแค่นั้น เพราะรัฐบาลเพิ่งผ่อนคลายกฎหมายที่ดินและข้อจำกัดต่างๆ ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ จึงมีการคาดการณ์ว่าจากนี้ ธุรกิจต่างๆ ในประเทศ รวมถึงวงการอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้าง จะกลับมาเติบโตอีกครั้ง

ด้วยปัจจัยบวกทั้งหมดที่กล่าวมา บริษัทใหญ่ๆ ที่ลงทุนในเวียดนาม จึงได้รับข่าวดี และพร้อมเดินหน้าลงทุนในเวียดนามอีกครั้ง เพื่อผลักดันธุรกิจให้เจริญก้าวหน้า

บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) (SCGD) ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทใหญ่ของไทยที่ตั้งโรงงานในเวียดนาม โดยโรงงานแห่งนี้ได้เดินสายการผลิตมาแล้วกว่า 10 ปี และโรงงานก็ถือเป็นกำลังสำคัญ ส่งให้บริษัทขึ้นมาเป็นเบอร์ต้นๆ ในตลาดสุขภัณฑ์ในธุรกิจเซรามิก วัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN Player)

ตามข้อมูลจากผลประกอบการ ไตรมาส 2 ปี 2025 SCGD เผยว่า ตัวเลขการส่งออกจากโรงงานในเวียดนามเพิ่มขึ้น 27.3% ซึ่งยอดการส่งออกจากโรงงานแห่งนี้ก็มีแนวโน้มเติบโต โดยมีเม็กซิโกกับสาธารณรัฐเช็กเป็นตลาดใหม่ที่อนาคตสดใส

แม้ต้องเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน แต่ SCGD ก็มั่นใจว่าธุรกิจจะเดินหน้าต่อไปได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ ด้วย 3 กลยุทธ์เข้มข้นต่อไปนี้

  1. ปักหมุดเวียดนามเป็นฐานการผลิต-ส่งออก เสริมศักยภาพความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก โดยเวียดนามเริ่มผลักดันต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้เทียบเท่ากับผู้เล่นระดับโลกได้แล้ว อีกทั้งเร่งเพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนกว่า 25% ของกำลังการผลิตรวม ส่งผลให้เวียดนามมีปริมาณการขายกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนสูงขึ้นสอดคล้องกับความนิยมและความต้องการของตลาด เตรียมพร้อมเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก รองรับการเติบโตของภูมิภาค พร้อมกันนี้ยังเชื่อว่า จุดแข็งของต้นทุนในการผลิตที่ต่ำ และเจอภาษีน้อยเมื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ กว่าประเทศอื่นๆ จะทำให้ยอดส่งออกจากโรงงานในเวียดนามโตขึ้นได้อีก และสามารถสู้กับจีนได้
  2. ขยายพอร์ตสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และธุรกิจที่มีการเติบโตสูง เจาะตลาดทุกเซกเมนต์ด้วยสินค้า HVA       และสินค้านำเข้าคุณภาพ ราคาและต้นทุนที่แข่งขันได้ อาทิ กลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ปัจจุบันบริษัทมียอดขายกลุ่ม HVA กว่า 37% ของรายได้จากการขายเทียบกับปีก่อนที่ 34% อีกทั้งขยายพอร์ตสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่องในไทย ที่จะเพิ่มโอกาสความหลากหลาย (Sourcing) ตอบโจทย์กลุ่มที่มีความต้องการเฉพาะเจาะจง
  3. มุ่งลดต้นทุนการผลิต-การบริหารจัดการ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ ลดต้นทุนการผลิตแล้วกว่า 36 ล้านบาทต่อปี ด้วยโครงการการใช้พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์และเชื้อเพลิงชีวมวลที่แล้วเสร็จในปีนี้ อีกทั้งโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มเติม อาทิ โครงการติดตั้งระบบ Hot Air Generator ที่โรงงานนิคมหนองแค ทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล จะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2569 ลดต้นทุนการบริหารจัดการ ด้วยการปรับลดเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) อย่างต่อเนื่อง ด้วยการควบคุมสินค้าคงคลัง และบริหารจัดการลูกหนี้ทางการค้า อีกทั้งการปรับโครงสร้างธุรกิจใช้ AI และระบบ Digital เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สามารถลดต้นทุนรวมได้กว่า 140 ล้านบาทต่อปี

คุณนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGD กล่าวว่า “ปี 2025 ตั้งเป้าการเติบโตปี 2025 ที่ 5% ส่วนผลประกอบการไม่รวมค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างธุรกิจในไตรมาส 2 ปี 2568 มี EBITDA อยู่ที่ 879 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน”

“มีกำไร 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากไตรมาสก่อน จากโครงการลดต้นทุนพลังงาน เร่งผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) รวมถึงปรับโครงสร้างธุรกิจส่งผลให้บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายที่ลดลง บริษัทมี EBITDA on sales อยู่ที่ร้อยละ 15.2 และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 4.8 ซึ่งสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาสที่ผ่านมา นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2567”

“นอกจากนี้ ปริมาณการขายกระเบื้องในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 31.7 ล้านตารางเมตร โดยได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของตลาดภูมิภาคโดยเฉพาะในเวียดนาม ซึ่ง SCGD มีธุรกิจ PRIME ที่สามารถบริหารต้นทุนให้แข่งขันเทียบเท่าผู้เล่นระดับโลก” คุณนำพล มลิชัย กล่าวทิ้งท้าย

FYI 

  • ครึ่งแรกปี 2025 ยอดขาย SCGD ใน ASEAN อยู่ที่ 244 ล้านบาท เติบโต 52% จากปี 2024 โดยมีเมียนมาเป็นตลาดใหญ่ที่สุด
  • ปัจจุบัน SCGD มีตัวแทนจำหน่าย 177 รายใน ASEAN ประเทศที่มีมากสุดคือฟิลิปปินส์
  • ยอดขายของ SCGD ในกัมพูชาอยู่ที่ 30 ล้านบาทต่อปี โดยเน้นไปที่ปอยเปต และหวังว่าเมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งคลี่คลาย ยอดขายจะกลับมาดีดังเดิม

ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer