คุณอาจเคยสังเกตเห็นรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าสีสดใสที่วิ่งไปมาในซอกซอยต่างๆ คนนั่งเต็มคันรถ สามารถเรียกผ่านมือถือได้
นั่นคือ Muvmi บริษัทที่เกิดขึ้นจากความต้องการที่จะเป็นอีก “หนึ่งทางเลือก” ในการเดินทางสำหรับคนเมือง ไม่ใช่เพื่อมาแข่งขันกับบริการเรียกรถที่มีอยู่ แต่เพื่อเติมเต็มช่องว่างที่ยังขาดอยู่
Marketeer ได้มีโอกาสพูดคุยกับ กฤษดา กฤตยากีรณ Co-founder และ CEO ของบริษัท มูฟมี ฮีโร่ จำกัด หรือที่รู้จักในนาม Muvmi ในงาน The Cooler Earth Thailand 2025 ที่จัดโดย CIMB Thai
เขาเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวที่น่าสนใจของการเริ่มต้นธุรกิจ กลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย มุมมองต่อวงการสตาร์ทอัพประเทศไทย และเป้าหมายในอนาคต
.
คำถามแรกที่ Marketeer สงสัยคือ ทำไม Muvmi ถึงเลือกใช้ “รถตุ๊กตุ๊ก”
กฤษดาตอบว่า เหตุผลที่สำคัญที่ใช้รถตุ๊กตุ๊ก หรือรถสามล้อ เพราะกรุงเทพฯ มีถนนและซอยที่แคบ
Muvmi ต้องการแก้ปัญหา “First Mile Last Mile” หรือการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะที่เชื่อมต่อกันได้ไม่ดีนัก
เช่น เมื่อเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเพื่อเข้าออฟฟิศ หรือการเดินทางกลับบ้าน ที่หลายครั้งจะต้องเดินทางต่อเพื่อให้ถึงปลายทางและมักอยู่ตามตรอกซอกซอย รถสามล้อจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะมีวงเลี้ยวที่แคบกว่ารถสี่ล้อ
กฤษดายกตัวอย่างว่า “เราเคยเอารถสี่ล้อมาวิ่ง สรุปเราต้องแก้ระบบใหม่ เพราะว่าบางซอยรถสี่ล้อเข้าไม่ได้”
สำหรับลูกค้า พวกเขามอง Muvmi เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทาง ไม่ได้สนใจว่ามันจะเป็นรถสามล้อหรือสี่ล้อมากเท่าไหร่ สิ่งที่พวกเขาสนใจคือจะไปถึงจุดหมายในราคาที่เข้าถึงได้และให้เร็วที่สุด
.
บริษัทมีการออกแบบรถเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สามารถทำระบบ sharing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากใครเคยใช้บริการ Muvmi จะทราบว่า เมื่อเรียกรถมารับ หลายครั้งจะมีคนอื่นที่นั่งไปกับเราด้วย และจะไปส่งลูกค้าแต่ละคนในแต่ละจุดหมาย นั่นคือระบบ sharing
ซึ่งจำเป็นต้องใช้การออกแบบรถใหม่ ให้นั่งได้ 6 ที่นั่ง ไม่สามารถใช้รถทั่วไปที่มีอยู่ในตลาดได้
การทำระบบ sharing นั้นมีเหตุผลมาจากการ พยายามทำราคาให้ใกล้เคียงต่ำเทียบกับการเดินทางประเภทอื่น
กฤษดาบอกว่า “ผมเคยทำงานอยู่แถวสีลม ซึ่งจะมีวินกับสามล้อวิ่งอยู่ ซึ่งตอนเช้าคนก็จะไม่ใช้สามล้อกัน ใช้แต่วิน แต่พอตอนเที่ยงก็จะเห็นคนขึ้นแต่สามล้อ อัดมาด้วยกันกับเพื่อนเลย เพราะว่าตอนเที่ยงหาตัวหารได้แล้ว”
การมีแอปพลิเคชันในมือถือ ช่วยให้ลูกค้าหาคนแชร์ค่าโดยสารได้จากทุกที่ ทำให้ระบบ sharing มีประสิทธิภาพมากขึ้น
.
กลุ่มลูกค้าของ Muvmi หลากหลายมากกว่าที่คิด ในช่วงแรกลูกค้าหลักจะเป็นผู้หญิงที่เพิ่งเริ่มทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มคนหลักที่ใช้ขนส่งมวลชนอยู่แล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มลูกค้าเริ่มหลากหลายขึ้น
และกลุ่มที่ทำให้พวกเขาแปลกใจมากที่สุดคือชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในย่านสุขุมวิท
“ในย่านสุขุมวิท ลูกค้าครึ่งหนึ่งเป็นชาวต่างชาติ เป็นกลุ่มคนญี่ปุ่น”
สิ่งที่น่าสนใจคือ Muvmi ไม่ได้ทำการตลาดสำหรับกลุ่มนี้เลย แต่พวกเขาใช้บริการแล้วชอบ จึงบอกต่อกันปากต่อปาก ลูกค้าชาวต่างชาติส่วนใหญ่จะมีรถประจำตำแหน่งในวันจันทร์ถึงศุกร์ พอเสาร์อาทิตย์จึงค่อยมาใช้บริการของ Muvmi
“ลูกๆ เขาอยากขึ้นรถตุ๊กตุ๊ก แล้วบังคับพ่อแม่ให้พ่อแม่พาขึ้น แล้วก็ติดใจบริการของเราในที่สุด”
ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มลูกค้าที่ทำให้ประทับใจมากที่สุดคือผู้สูงอายุ เขาเล่าว่า
“เคยเจอคุณป้าอายุประมาณ 80 ซึ่งผมแปลกใจ เพราะแม่ผมยังไม่ยอมใช้แอปเราเลย พอคุยก็เลยได้รู้ว่า ลูกสอนให้ใช้”
สาเหตุที่ลูกค้าท่านนี้ใช้บริการ เพราะก่อนหน้านี้จะไปไหนลูกก็ต้องพาไป อายุเยอะขึ้นวินมอเตอร์ไซค์ไม่ได้ เดินไม่ไหว ขึ้นแท็กซี่ตลอดก็จ่ายไม่ไหว Muvmi จึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้
.
เมื่อถูกถามเกี่ยวกับวงการสตาร์ทอัพไทย กฤษดามองว่าวงการนี้เคยบูมมากในช่วงหนึ่ง แต่วันนี้เริ่มหายไปแล้ว หลายบริษัทไปต่อไม่ได้
ปัญหาหลักที่เขาเห็นคือ เรามีคนสนับสนุนช่วงบริษัทเพิ่งเริ่มต้นเยอะ แต่กว่าจะขอเงินทุนได้อีกครั้งคือบริษัทต้องใหญ่ระดับหนึ่งเลย
สิ่งที่วงการสตาร์ทอัพไทยขาดคือ “ความต่อเนื่อง” เมื่อบริษัทเพิ่งเริ่มโตใหญ่ไปถึงจุดหนึ่ง ก็ถึงทางตัน ไปต่อไม่ได้ ต้องหาทางโตเอง
กว่าจะเจอความช่วยเหลืออีกครั้งก็สายไปแล้ว หากมีการสนับสนุนในช่วงช่องว่างนี้ เขาเชื่อว่าวงการคงจะไปได้ดีกว่านี้
.
สำหรับอนาคต Muvmi กำลังขยายไปยังต่างจังหวัด แต่กฤษดายอมรับว่าอาจจะยังต้องใช้เวลา เพราะหัวเมืองใหญ่นอกกรุงเทพฯ ไม่ได้มีขนส่งมวลชนขนาดนั้น คนส่วนใหญ่จึงมีรถส่วนตัวหรือมอเตอร์ไซค์อยู่แล้ว การที่จะให้พวกเขากลับมาใช้ขนส่งสาธารณะจึงต้องใช้ความพยายามและเวลา
นอกจากการขยายพื้นที่แล้ว Muvmi ยังมีแผนที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจ ปัจจุบันรถทุกคันเป็นการลงทุนของบริษัทเอง แต่ในอนาคตพวกเขาอาจจะนำโปรแกรมไปให้รถสามล้อทั่วไปใช้ด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้คนขับมีรายได้เพิ่มขึ้น รับลูกค้าได้มากขึ้น และลูกค้าก็เรียกรถได้ง่ายขึ้น
.
กฤษดามีมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการแข่งขันในธุรกิจนี้
เขาคิดว่าการเดินทางไม่ได้เป็น “winner takes all” ที่จะมีแค่วิธีการเดินทางเดียว แต่จะมีหลายทางเลือกให้คนเลือกตามความต้องการ หากลูกค้ารีบก็ขึ้นวินมอเตอร์ไซค์ วันไหนอยากออกกำลังกายก็เดิน หรือวันไหนต้องการความสะดวกสบายก็ใช้บริการรถแท็กซี่
สิ่งที่ Muvmi ทำคือการ “เพิ่มทางเลือก” ให้กับคนเมือง
ไม่ใช่การแทนที่บริการที่มีอยู่ แต่เป็นการเติมเต็มช่องว่างที่ยังขาดหายไป เพื่อให้ทุกคนมีตัวเลือกในการเดินทางที่หลากหลายและเหมาะสมกับความต้องการในแต่ละสถานการณ์
Muvmi จึงไม่ใช่แค่บริษัทขนส่ง แต่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบนิเวศการเดินทางที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกกลุ่มคนในสังคม ตั้งแต่เด็กที่อยากสนุกกับการนั่งรถตุ๊กตุ๊ก ผู้สูงอายุที่ต้องการความสะดวก จนถึงชาวต่างชาติที่ต้องการสำรวจเมืองอย่างใกล้ชิด
