หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Task masking มาบ้างแล้ว เพราะในอดีตคำนี้ถูกใช้มาค่อนข้างนานแล้ว ก่อนที่ล่าสุด Cambridge Dictionary จะประกาศเป็นคำศัพท์ใหม่ในแบบเขียนติดกันว่า Taskmasking
เอาไว้ใช้กล่าวถึงประเภทคนที่ทำตัวเหมือนกำลังยุ่งขีดสุด งานรัดตัว แต่จริง ๆ คือไม่ได้ทำอะไรที่สลักสำคัญเลย
อธิบายก่อนว่า Task masking เป็นอาการที่เมื่อเจองานที่ยาก ท้าทาย หรือน่าอึดอัดใจ แล้วเรายังไม่อยากจะทำมันตอนนี้ ร่างกายความรู้สึกจึงไปขยันทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่งานแทน ยกตัวอย่าง เวลาที่เราต้องทำพรีเซนเทชันงานที่ไม่ถนัดและยากสำหรับเรา แทนที่จะรีบตั้งหน้าตั้งตาทำให้บรรลุ แต่กลับลุกไปทำงานบ้าน ปัด กวาด เช็ดถูโต๊ะ ประตู ตู้ เตียง เสียจนเงาวิบ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องทำ ณ ตอนนี้
นั่นก็เพราะสมองสั่งให้คุณทำงานที่ไม่สำคัญ ง่าย หรือคุ้นเคยก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการจัดการกับงานที่สำคัญกว่า ท้าทายกว่า อันเป็นเรื่องสำคัญที่แท้จริง
การที่เราพยายามหลบหลีกที่จะพุ่งชนงานโหดหิน เพราะมันต้องดึงพลังงานในตัวมาใช้เยอะ จึงพยายามกลบเกลื่อนด้วยการไปทำตัวยุ่งกับสิ่งที่ไม่ใช่งานแทน ผัดวันประกันพรุ่งเท่าที่ได้ เช่น
-เมื่อต้องทำโปรเจกใหญ่ จู่ ๆ ก็ไปตอบอีเมลที่ไม่เร่งด่วนจำนวนมาก แทนที่จะเตรียมตัวสำหรับการนำเสนองานสำคัญให้ลูกค้าในวันพรุ่งนี้
-ทำความสะอาดโต๊ะทำงานก่อนเขียนรายงาน
-อยู่ดี ๆ ก็จัดระเบียบโฟลเดอร์ใหม่ แทนที่จะเริ่มต้นทำโปรเจกต์ให้เสร็จ
เนื่องจากงานเหล่านี้ให้ความรู้สึกถึงความสำเร็จโดยไม่ต้องจดจ่อหรือเสี่ยงต่อความล้มเหลว จึงดึงดูดใจให้รีบทำก่อน
แท้จริงอาการนี้คือสิ่งบั่นทอนประสิทธิภาพการทำงานอย่างหนึ่ง ที่หลายคนก็อาจเผลอทำอยู่ทุกวัน
แล้วทำไมเราจึงทำเช่นนั้น?
นักจิตวิทยาเชื่อมโยงพฤติกรรมที่พยายามหลีกเลี่ยงงานเช่นนี้ว่า เป็นเพราะกลไกสมองที่ถูกสร้างมาเพื่อหลบเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายใจ
ปัจจัยกระตุ้นที่พบบ่อย ได้แก่
1. ความกลัวความล้มเหลว – งานสำคัญให้ความรู้สึกเสี่ยงสูง เราจึงหลีกเลี่ยง
2. การขาดความชัดเจน – เราไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นตรงไหน เราจึงเลือกงานที่ง่ายกว่า
3. ความสมบูรณ์แบบ – หากตอนนี้เราทำได้ไม่สมบูรณ์แบบ ก็อย่าทำเลย ไปทำอย่างอื่นที่เราพอจะควบคุมได้ก่อนดีกว่า
4. ความพึงพอใจทันที – งานเล็ก ๆ น้อย ที่ไม่ต้องตั้งใจทำ จะทำให้เราหลั่งโดปามีนหรือสารแห่งความสุขได้รวดเร็ว ขณะที่โครงการใหญ่ ๆ ต้องใช้ความพยายามมากกว่า
วิธีการเลิกนิสัยผลักงานสำคัญไปไว้ทำทีหลัง
-ทุกเช้าลองระบุสิ่งสำคัญหนึ่งอย่างแล้วตัดสินใจเลือกงาน ๆ เดียวที่คิดว่าส่งผลกระทบมากที่สุดของวัน แล้วลงมือทำก่อน
-ใช้การบล็อกเวลาช่วย จัดตารางเวลาทำงานที่ไม่ต้องใช้สมาธิ กลุ่มงานจิปาถะไว้ทำทีหลัง
-หากงานนั้นรู้สึกหนักหนาสำหรับเราเกินไป ให้แบ่งออกเป็นขั้นตอนย่อย ๆ เพื่อลดความกังวลที่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้ง
Task making เป็นอาการที่พยายามหลอกล่อสมอง ช่วยกระตุ้นความขยันในตัวเรา เพียงแต่เป็นการขยันผิดจุด ซึ่งจะทำให้ตารางงานของเราวุ่นวาย และอาจร้ายแรงถึงขั้นส่งงานไม่ทันเวลา จึงควรรู้เท่าทันเมื่อเกิดความรู้สึกเช่นนี้ เพื่อจัดเวลาให้สอดคล้องกับลำดับความสำคัญ
