หนึ่งในกลยุทธ์ที่ประเทศไทยขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง และเริ่มเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ก็คือการผลักดันตัวเองให้กลายเป็น “Medical Hub” หรือศูนย์กลางทางการแพทย์ระดับโลก
จนวันนี้ตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพหรือ Medical Tourism ในประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในตลาดที่หลายธุรกิจให้ความสนใจ
แม้การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอาจฟังดูเป็นตลาดที่เล็ก
แต่ในความเป็นจริง ตัวเลขที่ได้กลับมากำลังเปลี่ยนเป็นอีกหนึ่งเสาหลักทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ
จากการประเมินของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มีการเดินทางเข้ามาในประเทศเพื่อจุดประสงค์ทางการแพทย์กว่า 2 ล้านครั้งต่อปี
ตัวเลขนี้นับรวมการเดินทางเพื่อรักษาโรค การตรวจสุขภาพประจำปี การทำศัลยกรรมเสริมความงาม การทำกายภาพบำบัด ไปจนถึงการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ
ตลาดนี้คาดว่าจะเติบโต และมีมูลค่ากว่า 5.2 แสนล้านบาทภายในปี 2030
กลุ่มนี้กำลังจะกลายเป็น “ขุมทรัพย์” ทางเศรษฐกิจที่ไม่มีใครกล้ามองข้าม
.
โดยสิ่งนี้เกิดขึ้นมาได้จากการลงทุนของภาคเอกชนและการสนับสนุนจากภาครัฐบาล
หลายคนอาจมองว่าการแข่งขันด้านการรักษาพยาบาลเป็นเรื่องของภาคเอกชน แต่ในกรณีของประเทศไทย สิ่งที่ช่วยทำให้เห็นผลได้ระดับนี้มาจากการสนับสนุนเชิงนโยบายจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่องด้วย
ตั้งแต่การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าสำหรับผู้ป่วยต่างชาติ
การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน
การเร่งยกระดับมาตรฐานโรงพยาบาลสู่ระดับสากล
ไปจนถึงการวางเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรมในการผลักดันประเทศให้เป็น “Medical & Wellness Hub”
แนวทางเหล่านี้ส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งงานทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาค
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง จีน และอาเซียน เลือกเดินทางมารักษาตัวที่ประเทศไทย คือราคาที่ “จับต้องได้” ในคุณภาพที่สูง
ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด การทำทันตกรรม หรือดูแลหลังรักษา
ค่ารักษาในไทยเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ หรือยุโรปนั้นถูกกว่าหลายเท่าตัว
แต่คุณภาพกลับใกล้เคียง หรือบางกรณีก็ดีกว่า
ด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย บุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมตามมาตรฐานระดับสากล ค่าครองชีพที่ไม่สูงเมื่อต้องใช้เวลารักษาหลายวัน และระบบบริการที่เน้นความสะดวกสบายและความเข้าใจในผู้ป่วยต่างชาติ
ทำให้ภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลในไทยไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่กลายเป็นอีกหนึ่ง “จุดหมายหลัก” ของการรักษาในระดับภูมิภาค
.
ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงพยาบาลที่ผ่านการรับรอง Joint Commission International (JCI) มากกว่า 62 แห่ง
โดย JCI เป็นองค์กรที่รับรองคุณภาพและความปลอดภัยของสถานพยาบาลทั่วโลก ซึ่งไทยถือว่ามีจำนวนที่สูงที่สุดในอาเซียน
ในขณะเดียวกัน โรงพยาบาลชั้นนำของไทยอย่างบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล และในเครือ BDMS ก็รายงานรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงหลังโควิด ที่สัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
จาก 46–52% ของรายได้ในช่วงปี 2020–2022
กลายเป็น 67% ภายในปี 2024 สำหรับบำรุงราษฎร์
.
แม้ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์จะเป็นหัวใจสำคัญ
แต่การที่ไทยสามารถขึ้นมายืนในระดับโลกได้ ส่วนหนึ่งคือการ “เข้าใจความต้องการของคนไข้ต่างชาติ”
ตั้งแต่การออกแบบสถานพยาบาลให้สะดวกและเป็นมิตร มีพนักงานที่สื่อสารได้หลายภาษา มีบริการผู้ช่วยส่วนตัว (concierge) สำหรับผู้ป่วยต่างชาติ การให้บริการแบบ all-in-one ที่รวมการรักษา ที่พัก และการเดินทางไว้ด้วยกัน
รวมถึงความร่วมมือกับอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น สายการบิน โรงแรม บริษัทประกันสุขภาพ ที่ช่วยเสริมให้ประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ “ราบรื่น” และรู้สึกมั่นใจ
โดยไม่ใช่แค่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่ได้ประโยชน์ การเติบโตของ Medical Tourism ยังเปิดโอกาสให้กับธุรกิจอื่น ๆ เช่น
-
คลินิกเฉพาะทาง
-
โรงแรมที่ปรับบริการให้เหมาะกับการฟื้นตัวของผู้ป่วย
-
บริษัทแปลภาษา
-
ธุรกิจด้านอาหารเพื่อสุขภาพ
-
ผู้ให้บริการ telemedicine และ remote consultation
-
ไปจนถึงธุรกิจ logistics ที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์การแพทย์
เมื่อประเทศไทยถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางรักษาพยาบาลระดับโลกได้ สิ่งที่ตามมาคือการสร้าง ecosystem ใหม่ที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกัน
.
ความสำเร็จในวันนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่หากประเทศไทยต้องการรักษาตำแหน่งผู้นำด้านการแพทย์ระดับภูมิภาค
สิ่งสำคัญคือการลงทุนอย่างต่อเนื่องใน 3 ด้านหลัก
-
พัฒนาทักษะบุคลากรทางการแพทย์
-
นำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาเสริมศักยภาพ
-
สร้างมาตรฐานการดูแลที่ไม่ใช่แค่ “รักษา” แต่ต้อง “เข้าใจ” คนไข้
การวางระบบให้รองรับความหลากหลายของผู้ป่วย คุณภาพที่สูง และราคาที่ต่อสู้กับประเทศอื่นได้ คือหัวใจของการเติบโตแบบยั่งยืนที่แท้จริง
ที่มา
https://www.intellifyglobal.com/thailand-healthcare-industry-outlook-2025/
