วันที่ 14 ตุลาคม 2568 คือ “วันเทรดสุดท้าย” ของหุ้น KEX บริษัท เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

หุ้นที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดาวรุ่งแห่งวงการโลจิสติกส์ไทย และเป็นหนึ่งใน IPO ที่ “คนแย่งกันจอง” มากที่สุดในปีนั้น

ย้อนรอยวัน IPO  ช่วงพีกของตำนาน 

นับจากปี 2549 ที่บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ชื่อในตอนนั้น) เข้ามาทำตลาดในไทย พร้อมจุดขาย “บริการเก็บเงินปลายทาง” รายแรกของประเทศ

สร้างจุดเปลี่ยนให้กับตลาดขนส่งพัสดุไทยทันที จากเดิมที่มีเพียงไปรษณีย์ไทยเป็นผู้เล่นหลัก กลายเป็นมีผู้เล่นรายอื่น ๆ เข้ามา เช่น J&T Express, Flash Express, Best Express, Ninja Van

ปลายปี 2563 เมื่อ KEX  นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กลายเป็น “หนึ่งใน IPO ที่ร้อนแรงที่สุดของปี”

นักลงทุนเชื่อว่า KEX จะเป็น “หุ้นแห่งอนาคต” ที่เติบโตไปพร้อมกับการขยายตัวของ e-Commerce

ราคาจองอยู่ที่ 28 บาทต่อหุ้น ราคาปิดวันแรก 51.25 บาทต่อหุ้น สร้างมูลค่าตลาดเกือบแสนล้านบาทภายในวันเดียว

ปีนั้นสามารถทำรายได้รวมพุ่งสูงถึง 18,917 ล้านบาท กำไร 1,405 ล้านบาท

แต่หลังจากกระแส e-Commerce พุ่งถึงขีดสุดในช่วงโควิด เส้นทางของ KEX กลับเจออุปสรรค

ธุรกิจขนส่งพัสดุกำลังเผชิญความจริงอีกด้าน   การแข่งขันที่ดุเดือดเกินคาด นำไปสู่สงครามลดราคาเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด

ราคาค่าส่งลดฮวบ ขณะที่ต้นทุนแรงงานและน้ำมันเพิ่มสูง ยิ่งบีบให้กำไรของผู้ประกอบการบางลงทุกปี

ในเวลาเดียวกัน “แพลตฟอร์มรายใหญ่” อย่างลาซาด้าและช้อปปี้ เริ่มสร้างระบบขนส่งของตัวเอง เพื่อลดต้นทุน

งานที่เคยพึ่งพาผู้ให้บริการภายนอกอย่าง KEX ถูกดึงกลับเข้าในระบบของแพลตฟอร์ม

ปี 2564 รายได้ของ KEX ยังคงที่ แต่กำไรลดเหลือเพียง 47 ล้านบาท

ในปี 2565 ขาดทุนครั้งแรก 2,830 ล้านบาท และหลังจากปีนั้น KEX สะกดคำว่ากำไรไม่เป็นอีกเลย

ปี 2566 ขาดทุนเพิ่มเป็น 3,881 ล้านบาท

ส่วนราคาหุ้นที่เคยเหนือจอง (ไอพีโอที่ 28 บาท) ก็ค่อย ๆ ลดลง ต่ำกว่าราคาจองแบบหาทางกลับบ้านไม่เจอ

ปี 2567 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง เมื่อ “SF Express” ผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่ที่สุดของจีนและเอเชีย เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

การ “รีแบรนด์” จากชื่อเดิมที่คนไทยคุ้นเคย “Kerry” สู่ชื่อใหม่ “KEX” เริ่มขึ้นในปีนั้น

พร้อมเตรียมทรานส์ฟอร์มองค์กรใหม่ เพื่อเดินหน้าสร้างกลยุทธ์เชิงรุก ปรับพอร์ตลูกค้า หลีกเลี่ยงงานที่ไม่คุ้มค่า และมุ่งเน้นบริการที่สร้างมูลค่าและตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มอย่างยั่งยืน

แต่ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ทัน สิ้นปี 2567 รายได้ 9,449 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 5,911 ล้านบาท

ครึ่งแรกของปี 2568 ตลาดขนส่งพัสดุด่วนในไทยยังคงแข่งขันรุนแรง ปริมาณพัสดุเติบโตช้าลงตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

รายได้และกำไรของ KEX ก็ยังลดลงต่อเนื่อง

ครึ่งปีแรก 2568 รายได้รวม 2,536.50 ล้านบาท กำไรสุทธิ -1,997.89 ล้านบาท

เป็นกำไรติดลบติดต่อกันถึง 14 ไตรมาส ภายใต้สภาวะธุรกิจที่ไม่แน่นอน และข้อจำกัดในการระดมทุนที่เพิ่มขึ้น

ในที่สุด KEX ก็มาถึงจุดจบในตลาดทุน

กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ประกาศทำ Tender Offer เพื่อนำ KEX ออกจากตลาดหลักทรัพย์ ด้วยเหตุผลขอเพิกถอนโดยสมัครใจ

และที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 มีมติอนุมัติการเพิกถอนดังกล่าว

ก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะอนุมัติอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 กรกฎาคม 2568

วันที่ 14 ตุลาคม 2568 จึงถูกกำหนดเป็น “วันเทรดสุดท้าย”

และวันที่ 15 ตุลาคม 2568 คือวันอำลาตลาดหุ้นของ KEX อย่างสมบูรณ์

กลายเป็น “กรณีศึกษา” ที่นักลงทุนไทยจะจดจำไปอีกนานว่า ความร้อนแรงในวัน IPO ไม่ได้การันตีความยั่งยืนในระยะยาว


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer