งานแต่งงาน งานในฝันของใครต่อใคร ที่ทุกองค์ประกอบต้องสวยงาม ไร้ที่ติ
และสิ่งที่มักจะเป็นจุดเด่นที่สุดในงานคงหนีไม่พ้น “ชุดแต่งงาน” ที่เจ้าสาวหลายคนพร้อมจะทุ่มเงินเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ได้เป็นที่จดจำมากที่สุดภายในงาน
และหนึ่งในบริษัทที่มียอดขายชุดแต่งงานเจ้าสาวสูงที่สุดในอเมริกาก็คือ David’s Bridal บริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 25-30% ของยอดขายชุดเจ้าสาวทั่วประเทศ
แต่ต่อให้ยอดขายของบริษัทจะดีขนาดไหน David’s Bridal ก็เคยผ่านการล้มละลายมาแล้วถึงสองครั้ง และยังคงมีปัญหาด้านการเงินอยู่จนถึงทุกวันนี้
เกิดอะไรขึ้นกับ David’s Bridal?
หาคำตอบได้ที่นี่
ย้อนกลับไปในปี 1950 David’s Bridal ก่อตั้งขึ้นที่เมืองฟอร์ตลอเดอร์เดล รัฐฟลอริดา โดย David Reusberg
ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นร้านชุดเจ้าสาวเพียงแห่งเดียวในย่านนั้น
จุดเด่นในช่วงเริ่มต้นคือการเป็นทั้ง “บูทีค” ขายชุดราคาแพง และขนาดร้านที่ใหญ่คล้ายกับ “โกดังชุดแต่งงาน” ที่มีชุดราคาถูกแต่ดีไซน์สวย ตอบโจทย์เจ้าสาวที่ต้องการชุดเร่งด่วนให้ทันวันงาน จนกลายเป็นที่นิยมไปทั่วเมือง
ผ่านไปเกือบครึ่งศตวรรษ หลังจากประสบความสำเร็จและแบรนด์เป็นที่รู้จักทั่วอเมริกา David’s Bridal ได้ขยายสาขาเป็น 80 แห่งทั่วประเทศ มียอดขายสูงถึง 132 ล้านเหรียญในปี 1999 และเข้าจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในที่สุด
ความสำเร็จนี้ทำให้บริษัทกลายเป็นเป้าหมายของนักลงทุนรายใหญ่ และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนมือเจ้าของบ่อยครั้ง
เริ่มจากห้างสรรพสินค้า Macy’s ที่เข้าซื้อกิจการในมูลค่า 436 ล้านเหรียญในปี 2000 เพื่อนำร้านไปขยายในห้างของตน
ต่อมา Macy’s ถูกควบรวมกับห้าง Federated เพื่อแข่งขันกับยักษ์ใหญ่อย่าง Walmart ส่งผลให้ David’s Bridal ถูกส่งต่อไปอีกครั้ง
จนกระทั่งในปี 2012 บริษัท Private Equity อย่าง Clayton, Dubilier & Rice เข้ามาซื้อกิจการในมูลค่า 1.05 พันล้านเหรียญ โดยเป็นการซื้อด้วยเงินกู้ทั้งหมด การเปลี่ยนมือครั้งนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัท
ทุกเจ้าของที่เข้ามามีเป้าหมายเดียวกันคือ “การเติบโต” เพื่อชดเชยเงินลงทุนที่เสียไป
บริษัทจึงต้องเร่งขยายสาขาอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันกับความคาดหวัง จาก 80 สาขาในปี 1999 พุ่งขึ้นเป็นมากกว่า 300 สาขาในปี 2019
แต่สิ่งที่มาพร้อมกับการขยายตัวคือ “หนี้สิน” ที่เพิ่มสูงตามมา ที่นำไปใช้ขยายสาขาจำนวนมาก
และยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ยังแย่ลงไปอีกจากปัญหาที่น้อยคนคาดคิด นั่นคือ จำนวนคนอเมริกันที่แต่งงานลดลง และคู่แข่งที่ทยอยเข้ามามากขึ้น
สัดส่วนคนที่แต่งงานในอเมริกาลดจาก 78.8% ในปี 1949 เหลือเพียง 52.7% ในปี 1999 และ 48.2% ในปี 2019
ในขณะเดียวกัน คู่แข่งหลั่งไหลเข้ามา โดยเฉพาะแบรนด์ดีไซเนอร์ระดับโลกที่เล็งเห็นโอกาสในกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์
ที่น่าสนใจคือแม้จำนวนคนแต่งงานจะลดลง แต่ยอดใช้จ่ายต่องานกลับสูงขึ้น คนยุคใหม่ต้องการคุณภาพที่ดีกว่า และพร้อมจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับชุดแต่งงาน
ซึ่ง David’s Bridal ไม่สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้านี้ได้
แม้แต่ฐานลูกค้าหลักของบริษัทเองก็ถูกแย่งโดยแบรนด์อื่นๆ หรือร้านค้าออนไลน์ที่ผลิตสินค้าจากจีน ซึ่งมีราคาถูกกว่าแต่คุณภาพใกล้เคียงกัน
ปัญหาเหล่านี้ทำให้แม้จะมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 25-30% แต่ก็ทำให้บริษัทไม่สามารถกอบโกยกำไรได้อย่างที่ควร และก็ไม่เพียงพอกับภาระหนี้สินที่สะสมมา
ในที่สุดบริษัทก็ยื่นล้มละลายในปี 2019 และอีกครั้งในปี 2022 ก่อนที่ Cion Investment Corp จะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหม่
โดยปัจจุบันเหลือเพียง 195 ร้านค้า และมีแผนจะปิดสาขาเพิ่มเติม พร้อมลดจำนวนสินค้าในแต่ละสาขาเพื่อลดเงินทุนที่ต้องใช้บริหาร
David’s Bridal คือตัวอย่างของบริษัทที่ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในอุตสาหกรรม แต่ก็ยังล้มละลายได้ จากการใช้เงินที่เกิดตัวจนเกินไป
และเมื่อตลาดไม่เป็นใจ ปัญหาที่ซ่อนอยู่ก็โผล่ขึ้นมาในที่สุด
ที่มา
https://www.businessinsider.com/evolution-and-history-of-davids-bridal-and-wedding-dresses-2019-5
https://www.nytimes.com/2018/11/19/business/davids-bridal-bankruptcy.html
https://www.latimes.com/archives/la-xpm-2000-jul-04-fi-47524-story.html
https://usafacts.org/articles/state-relationships-marriages-and-living-alone-us/
