ท่ามกลางเครื่องดื่มมากมายในตู้แช่ของร้านสะดวกซื้อและบนชั้นวางโซนเครื่องดื่มตามซูเปอร์มาร์เก็ตหลายประเทศ มีเครื่องดื่มประเภทหนึ่งที่เป็นสินค้าที่ต้องมีมานานแล้ว นั่นคือเบียร์ เหล้าและไวน์ไร้แอลกอฮอล์ 

จุดสังเกตของเครื่องดื่มประเภทนี้คือ มีตัวเลข 0% อยู่บนฉลากของแพ็กเกจทุกแบบ ทั้งขวดและกระป๋อง ทว่าในอังกฤษราคาของเครื่องดื่มกลุ่ม “โนแอล” กลับแพงกว่า เบียร์ เหล้าและไวน์ จนกลายเป็นประเด็นขึ้นมา 

ผู้บริโภคในอังกฤษกำลังตั้งคำถามต่อราคาของเครื่องดื่มกลุ่ม 0% ที่พุ่งสูงขึ้นในท้องตลาด โดยพบว่า บางแบรนด์มีราคาสูงถึงขวดละ 25 ปอนด์ (ประมาณ 1,063 บาท) หรือแม้แต่ไวน์แบบอัดก๊าซ (Sparkling Wine) 0% ในร้านอาหารที่กรุงลอนดอนก็มีราคาสูงถึง 85 ปอนด์ (ประมาณ 3,615 บาท) 

นี่เป็นราคาที่เทียบเท่าหรือแพงกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วไป ทั้งที่เครื่องดื่มกลุ่มนี้ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีสรรพสามิตแอลกอฮอล์แต่อย่างใด 

ตามข้อมูลของกลุ่มวิจัย Sheffield Addictions Research Group (Sarg) จากมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ พบว่า ราคาเฉลี่ยของเบียร์ 0% ในซูเปอร์มาร์เก็ตมักจะแพงกว่าเบียร์ปกติ 5% และเพิ่มเป็นแพงกว่าถึง 25% เมื่อไปจำหน่ายในผับและร้านอาหาร เช่นเดียวกับไซเดอร์ 0% ที่แพงกว่าไซเดอร์ปกติอยู่ 10% ในซูเปอร์มาร์เก็ต และแพงกว่าอยู่ 9% ในผับ 

มี 2 สาเหตุหลักที่ทำให้เครื่องดื่มกลุ่ม 0% แพงกว่าเบียร์ เหล้าและไวน์ปกติ โดยสาเหตุแรกคือ กลยุทธ์ทางการตลาด เพราะทางบริษัทผู้ผลิตจงใจวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ 0% ให้เป็นสินค้าดับพรีเมียม เพื่อกู้ชื่อเสียงและลบภาพจำในอดีตที่เครื่องดื่ม 0% มักมีรสชาติแย่ 

ส่วนสาเหตุที่ 2 คือ ต้นทุนจากการผลิตที่ซับซ้อนที่ดันราคาให้แพงขึ้น โดย Diageo บริษัทยักษ์เครื่องดื่มระดับโลกเผยว่า เฉพาะเบียร์ 0% ก็ต้องใช้เวลากับการวิจัยหลายปี และเมื่อเข้าสู่กระบวนการผลิตก็ต้องต้มเบียร์ให้เสร็จก่อนแล้วจึงนำแอลกอฮอล์ออกทีหลัง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เพิ่มต้นทุนอย่างมาก 

ด้านบริษัทเครื่องดื่มอีกแห่งอ้างว่า ที่เบียร์ 0% แพงกว่า เพราะ ต้นทุนหลักมาจากวัตถุดิบและกรรมวิธีการกลั่นพืชพรรณสดจากชายฝั่งในปริมาณน้อย ซึ่งใช้เวลาและอุปกรณ์พิเศษเหมือนการทำสุราราคาแพง ไม่ได้ใช้หัวเชื้อเข้มข้นแบบน้ำอัดลมทั่วไป

พร้อมกันนี้ยังใช้เวลาผลิตนานถึง 1 ปี ดังนั้นเมื่อรวมกับค่าแพ็กเกจและการทำการตลาดในที่สุดราคาจึงเพิ่มขึ้น จนแพงกว่าเบียร์ทั่วไปนั่นเอง 

สื่ออังกฤษที่นำเรื่องนี้มาตีแผ่ รายงานต่อว่า แม้นี่คือราคาที่ผู้บริโภคกลุ่มอยากดื่มพร้อมจ่ายทั้งเพื่อร่วมอยู่ในวงสังสรรค์ได้แบบไม่เมาหรืออยากลดการดื่มเบียร์ เหล้า ไวน์ แต่ก็ทำให้มีปัญหาใหม่เกิดขึ้น 

นั่นคือ ความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ เนื่องจากเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ทั่วไป โดยเฉพาะเบียร์เป็นเครื่องดื่มที่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยดื่มกันมาก แต่หากเครื่องดื่ม 0% ที่เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพกลับมีราคาสูง คนกลุ่มนี้ก็คงแทบไม่สามารถซื้อได้ 

รายงานจากสื่ออังกฤษ สรุปว่า แม้บริษัทที่ผลิตเครื่องดื่มอ้างว่า 0% เป็นเครื่องดื่มทางเลือก แต่ท้ายที่สุด นี่คือ แผนทางการตลาดเพื่อสร้างเครื่องดื่มประเภทใหม่สู่ตลาด และเพิ่มทางทำเงินใหม่ๆ เสียมากกว่า

ขณะเดียวกันในปัจจุบันเครื่องดื่ม 0% ก็มีแนวโน้มที่ทำยอดขายได้ดี เพราะนอกจากผู้ที่อยากลดการดื่มเพื่อรักษาสุขภาพแล้ว กลุ่ม Gen Z ก็เป็นกลุ่มเป้าหมายที่เพิ่มเข้ามา เนื่องจากพวกเขาเห็นว่าช่วยให้สามารถสังสรรค์เพื่อเข้าสังคมยามจำเป็นได้ โดยไม่ต้องเมามาย ไม่เสียสุขภาพ และไม่มีภาพไร้สติปรากฏในสื่อออนไลน์นั่นเอง / theguardian 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer