หากลองกวาดตามองไปที่บทความด้านการทำงาน ณ ปัจจุบัน ประเด็นที่จะเห็นกันอยู่บ่อยๆ คือ การรับมือกับ Gen Z ประชากรรุ่นใหม่ในโลกการทำงาน ที่ส่วนใหญ่จะถูกมองในเชิงลบ ทั้งเอาแต่ใจ ไร้ระเบียบวินัย 

นอกจากนี้ยังไม่ภักดีต่อองค์กรและชอบอ้างสมดุลชีวิตระหว่างงานกับการพักผ่อน (Work-Life Balance) เพื่ออู้งาน อีกด้วย โดยบทความในสื่อใหญ่บางสำนักอย่าง The Wall Street Journal สรุปแรงๆ ถึงขั้นที่ว่า คนรุ่นนี้ทั้งรุ่นอาจจะจ้างงานไม่ได้เลยทีเดียว 

กระแสวิจารณ์ต่อ Gen Z ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะพวกเขาต้องมาเจอกับบรรยากาศในบริษัทที่เป็นพิษ (Toxic) จากบรรดารุ่นพี่ๆ ในองค์กรที่ต่างเหมารวมพวกเขาในทางเสียหาย จนรุ่นพี่ๆ เหล่านั้นลืมไปแล้วว่า คนรุ่นตนก็เคยถูกคนรุ่นที่แก่กว่าวิจารณ์ในลักษณะเดียวกันมาแล้ว 

อดัม แกรนต์ นักจิตวิทยาองค์กรจาก Wharton Business School กล่าวว่า คนทุกรุ่นมักจะบ่นเกี่ยวกับรุ่นถัดไปอยู่แล้ว เช่นไม่กี่ปีก่อนที่ต่างก็เคยเกลียด Gen Y แต่ตอนนี้ย้ายมาที่ Gen Z เสียแล้ว 

พฤติกรรมที่กำลังสร้างความไม่พอใจให้ Gen Z นี้มาจากการที่ คนเรามักจะเปรียบเทียบคนรุ่นใหม่กับตัวเราในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดพลาด เพราะคนส่วนใหญ่ในวัย 20 ปี มักจะหลงตัวเองและยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางมากกว่าตอนอายุ 40 ปีอยู่แล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาทางวุฒิภาวะ 

แม้ว่านี่จะเป็นวงจรที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ทุกครั้งที่มีคนรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงาน แต่ผู้เชี่ยวชาญก็มองว่าครั้งนี้มันรุนแรงมากกว่าปกติเพราะ Gen Z รู้สึกหมดศรัทธากับสถาบันต่างๆ ที่พวกเขามองว่าล้มเหลวและไม่สามารถมอบความมั่นคงให้พวกเขาได้ 

อดัม แกรนต์ เสริมว่า คนรุ่นเก่ายังมักจะเปรียบเทียบจุดแข็งของตนเองกับจุดอ่อนของคนรุ่นใหม่ ซึ่งยิ่งทำให้ช่องว่างระหว่างวัยขยายใหญ่ขึ้น และมักทำให้คนรุ่นใหม่ถูกมองในแง่ลบอย่างไม่เป็นธรรมยิ่งขึ้น  

เรื่องนี้สะท้อนออกมาผ่านคำพูดติดปากของเหล่าคนที่โตกว่า Gen Z เมื่อไม่พอใจ Gen Z อย่าง “สมัยพี่ยังผ่านมาได้” “พี่เคยเจอมาหนักกว่านี้” “ทนๆ เอาหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น” และ “คนรุ่นเธอไม่สู้งานเลย” 

ชาห์นาวี ชาห์ วัย 25 ปี กล่าวว่า คำพูดเหล่านี้ที่ใช้กับ Gen Z และคำวิจารณ์ต่อคนรุ่นตนนั้น มันไร้สาระสิ้นดี โดยแม้คนรุ่นก่อนหน้าเรา ทุ่มเททุกอย่างเพื่องาน และปล่อยให้ชีวิตเป็นเรื่องรอง แต่พวกเราก็เป็นรุ่นที่ฉลาดและต้องต่อสู้ดิ้นรนเหมือนกัน แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่อยาก หมดไฟ และได้รับค่าตอบแทนที่คุ้มกับแรงกายแรงสมองและเวลาที่ทุ่มลงไปกับงาน 

ชาห์นาวี ชาห์ เพิ่งได้งานประจำครั้งแรกที่สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีในซานฟรานซิสโก หลังจากใช้เวลาหางานนาน 7 เดือน และยื่นใบสมัครไปเกือบ 1,000 แห่ง โดยเธอกล่าวว่า คนรุ่นก่อนแค่ส่งใบสมัครแบบหว่านๆ ก็ยังได้สัมภาษณ์จากบริษัทยักษ์เทคฯ แต่ใบสมัครทุกใบที่ส่งไป และทุกการปฏิเสธที่ตามมา ฉันรู้สึกเหมือนสูญเสียความเป็นตัวเองไปทีละนิด 

นัดยา โอคาโมโตะ วัย 27 ปี ผู้ร่วมก่อตั้ง August (บริษัทผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม) ก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำวิจารณ์เหล่านั้น เพราะงานหลายๆ อย่างที่ Gen Z ทำได้ดี เช่น การตลาดโซเชียลมีเดียเพิ่งมามีเมื่อ 20 ปีนี่เอง 

ดังนั้นในแง่นี้ เห็นได้ชัดว่าเราจ้างงานได้ และไม่พอใจที่ Gen Z มักถูกมองในแง่ลบว่าเป็นพวกเอาแต่ใจ เพียงเพราะเราต้องการเรื่องพื้นฐานอย่างเช่น Work-Life Balance เท่านั้น 

อดัม แกรนต์ วิเคราะห์ต่อว่า Gen Z โตมากับการเฝ้ามองสถาบันต่างๆ ทั้งด้านการเงินและการเมืองล้มเหลวในการรักษาสัญญาเรื่องความมั่นคงทางอาชีพและความมั่งคั่งด้านรายได้ สิ่งนี้ได้ปลูกฝังให้เกิดความไม่ไว้วางใจ ดังนั้นคนทำงานรุ่นใหม่จำนวนมาก จึงแทบไม่มีความไว้วางใจระหว่างลูกจ้างกับนายจ้างอีกต่อไป 

นี่จึงไม่แปลกว่าทำไม การจ้างงานตลอดชีวิตหรือทำงานบริษัทเดียวหลายสิบปีเป็นเรื่องล้าสมัย ซึ่งก็สะท้อนออกมาผ่านยอดการลาออกที่สูงของ Gen Z ในญี่ปุ่น ทั้งที่นี่คือประเทศที่เคยมีความภาคภูมิใจเรื่องการจ้างงานตลอดชีพ จนบริษัทต้องหาทางรั้งตัวพนักงาน Gen Z และเกิดเป็นธุรกิจเคลียร์เรื่องลาออกให้แทนขึ้นมา 

แมดเดอลีน มิลเลอร์ นักยุทธศาสตร์ด้านภาวะผู้นำและวัฒนธรรมองค์กร กล่าวว่า คนรุ่นนี้แตกต่างจากรุ่นก่อน โดยพวกเขามองเรื่องการทำงานที่ยืดหยุ่น, เป้าหมายในการทำงาน และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน สำคัญกว่าการทำงานล่วงเวลาหรือการเลื่อนตำแหน่ง นอกจากนี้ยังใช้เทคโนโลยีช่วยทำงานจนเป็นเรื่องปกติ 

ชาห์นาวี ชาห์ กล่าวต่อว่า Gen Z ไม่ได้มองเห็นคุณค่าในการทำงานล่วงเวลา และการทุ่มเททำงานหนัก (Work Hard) แต่จะมุ่งเน้นไปที่ การทำงานอย่างชาญฉลาด (Work Smart) โดยใช้ประโยชน์จากเอไอให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อทำงานที่ปกติอาจใช้เวลา 10 ชั่วโมง ให้เสร็จภายใน 5 ชั่วโมงแทน ซึ่งผลดีที่ตามมาคือมี Work-Life Balance ดีขึ้นนั่นเอง 

ผลสำรวจของ Deloitte ที่เผยแพร่เมื่อต้นปีนี้ พบว่า เกินครึ่งของพนักงาน Gen Z ใช้เอไอในการทำงานเป็นประจำ 

ค่านิยมและลำดับความสำคัญดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเช่นกัน โดยข้อมูลของ Deloitte พบว่า 89% ของพนักงาน Gen Z และ 92% ของ Gen Y มองว่า เป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายในการทำงาน เป็นสิ่งสำคัญ (มากหรือค่อนข้างมาก) ต่อความพึงพอใจในงานของพวกเขา 

อดัม แกรนต์ สรุปว่า บริษัทที่เพิกเฉยหรือมองข้ามพนักงาน Gen Z กำลังนำพาองค์กรไปเสี่ยง ดังนั้นผู้จัดการรุ่นเก่ากับคนรุ่นพี่ในองค์กรและพนักงานรุ่นใหม่จะได้รับประโยชน์ หากพวกเขาเลิกมองอีกฝ่ายด้วยอคติแบบเหมารวม และเรียนรู้จากกันและกัน 

พร้อมกันนี้ควรนำจุดแข็งของแต่ละรุ่นมาช่วยกันทำงาน เช่นคนรุ่นเก่ามีความรู้และประสบการณ์มากมายที่จะมอบให้ ส่วนคนรุ่นใหม่ก็มีมุมมองที่สดใหม่และความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัล เราต้องการให้เกิดการผสมผสานองค์ความรู้ข้ามรุ่น 

จากทั้งหมดจึงสามารถกล่าวได้ว่า หากองค์กรใดยังอคติกับ Gen Z อาจพังจากภายใน เพราะพวกเขา ได้เข้ามาเปลี่ยนวิธีการทำงานไปโดยสิ้นเชิง นำมาสู่การปรับตัวแบบทั้งองคาพยพและทุกภาคส่วนในองค์กร แทนที่จะพยายามยัดเยียดโครงสร้างเดิมๆ ลำดับชั้นแบบเก่าๆ หรือโมเดลการทำงานเดิมๆ ที่ดูล้าสมัยไปแล้วให้กับพวกเขา / theguardian 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer