จากประเทศที่ฝ่ายบริษัทและพนักงานให้ความไว้วางใจกันและกัน ก่อเกิดเป็นการจ้างงานตลอดชีพ ซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจพัฒนาแบบก้าวกระโดด มาวันนี้ ญี่ปุ่น เจอปัญหาที่แก้ไม่ตกเรื่องการลาออกของคนรุ่นใหม่ จนต้องคิดค้นวิธีการต่างๆ เพื่อคลายวิกฤต 

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น เผยว่า กลุ่มตัวอย่างบัณฑิตจบใหม่กลุ่ม Gen Z ที่เริ่มทำงานเมื่อปี 2021 ตัดสินใจลาออกจากงานภายใน 3 ปี สูงถึง 34.9% เพิ่มมาจากปีก่อนหน้า 2.6% 

ด้านผลสำรวจออนไลน์จากบริษัท Staff Service Holdings ที่สอบถาม Gen Z กว่า 700 คน ที่ลาออกภายใน 3 ปีแรกของการทำงาน พบว่าสาเหตุหลัก ที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจลาออกคือ ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงาน ทนไม่ไหวที่ถูกหัวหน้าว่ากล่าวตักเตือน และ วัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เข้ากับตัวเอง 

ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนปัญหาการลาออกของ Gen Z ญี่ปุ่น หลังเริ่มชีวิตการทำงาน จนบรรดาบริษัทต่างๆ ต้องหาทางแก้ เช่น นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย อย่างการใช้แอปพลิเคชันเพื่อติดตามสภาวะอารมณ์ของพนักงานใหม่ 

ในขณะที่บางบริษัทก็ปรับเปลี่ยนธรรมเนียมปฏิบัติเดิมๆ ด้วยการเปิดโอกาสให้พนักงานใหม่สามารถเลือกสมัครงานในสาขาหรือแผนกที่ตนเองต้องการได้ แทนที่จะให้บริษัทเป็นผู้กำหนดทั้งหมดเหมือนในอดีต

ตัวอย่างของบริษัทที่ตามเทรนด์นี้ก็เช่น Nitto Denko ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่เริ่มใช้แอปพลิเคชันชื่อ “Geppo” มาตั้งแต่ปี 2019 เพื่อดูแลพนักงานที่ทำงานไม่เกิน 3 ปี 

แอปฯ นี้จะให้พนักงานประเมินสภาพความสุขและความเป็นอยู่ของตนเองเป็นประจำทุกเดือนใน 3 หมวด แบ่งเป็น 5 ระดับ จากนั้นข้อมูลจะถูกส่งไปยังฝ่ายบุคคล หากพบว่าคะแนนของพนักงานคนใดลดลงอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายบุคคลจะรีบเข้าไปพูดคุยแบบตัวต่อตัวทันที 

ซึ่งเจ้าหน้าที่ของ Nitto Denko ยืนยันว่าวิธีนี้ช่วยให้บริษัทและพนักงานได้เปิดใจคุยกันอย่างตรงไปตรงมา และสามารถลดอัตราการลาออกของพนักงานใหม่ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ 

ขณะเดียวกัน บริษัทในกลุ่มประกันภัยรายใหญ่อย่าง Sompo Japan Insurance ก็ได้เริ่มใช้ระบบที่อนุญาตให้ผู้สมัครสามารถเลือกแผนกที่ต้องการได้ตั้งแต่ตอนที่ได้รับข้อเสนอเข้าทำงาน

ส่วนบริษัท Dai-ichi Life Insurance ก็มีนโยบายที่เปิดโอกาสให้พนักงานใหม่สามารถขอย้ายไปทำงานในสาขาต่างประเทศได้ภายใน 5 ปีแรก หากพวกเขามีความต้องการ 

การลาออกที่ค่อนข้างสูงในสังคมการทำงานญี่ปุ่นจนบริษัทต้องใช้วิธีการสารพัดเพื่อรั้งตัวนี้ ไม่ได้เกิดจากปัญหาในที่ทำงาน และความไม่พอใจผู้บังคับบัญชาเท่านั้น แต่ยังมาจาก ปัจจุบัน การลาออกทำได้ง่ายขึ้น ผ่านบริษัทจัดการเรื่องลาออกแทน ที่เรียกกันว่า ไทโชคุ ไดโกะ 

การใช้บริการไทโชคุ ไดโกะ ของ Gen Z ญี่ปุ่น ช่วยให้สามารถลาออกได้ง่ายขึ้น โดยหลังติดต่อไปและจ่ายเงินค่าบริการระหว่าง 12,000 – 29,800 เยน (ประมาณ 2,590 – 6,420 บาท) การลาออกก็อาจเสร็จสิ้นเร็วสุดในเวลาเพียง 45 นาทีเท่านั้น 

การจ่ายแล้วจบโดยที่ไม่ต้องยื่นใบลาออกกับหัวหน้าเองและแจ้งฝ่ายบุคคล ทำให้ ไทโชคุ ไดโกะ เป็นธุรกิจที่กำลังเฟื่องฟูของญี่ปุ่น โดย ข้อมูลเมื่อปี 2024 ระบุว่า มีบริษัทประเภทนี้ทั่วประเทศมากนับร้อยแห่ง 

สำหรับการจ้างงานตลอดชีพของญี่ปุ่น หรือ ชูชิน โคโย เริ่มขึ้นเมื่อปี 1920 หรือรัชสมัยไทโช ซึ่งญี่ปุ่นพัฒนาประเทศจนทัดเทียมกับชาติตะวันตกได้สำเร็จ ต่อเนื่องจากยุคปฏิรูปหรือรัชสมัยเมจิ 

ชูชิน โคโย ซึ่งจะไปจองตัวพนักงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ นี่เองที่ช่วยให้ญี่ปุ่นฟื้นขึ้นมาเร็วหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนขึ้นมาทัดเทียมกับประเทศตะวันตก ต่อเนื่องไปถึงขั้นประเทศชั้นนำด้านเทคโนโลยีในยุค 80 

ชูชิน โคโย นำมาสู่การทำงานแบบถวายหัวให้องค์กรของเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่เรียกตามภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นว่า “ซาลารี่มัง” ที่ล้วนเต็มที่กับงานแต่ก็สังสรรค์หลังเลิกงานก็เต็มที่พอๆ กัน 

แต่ไม่กี่ปีมานี้ ชูชิน โคโย แทบไม่มีอีกแล้ว ซึ่งก็สะท้อนออกมาผ่านการลาออกหลังทำงานเพียงไม่กี่ปีกับการเปลี่ยนงานบ่อย (Job Hopper) ของ Gen Z ญี่ปุ่น ความเฟื่องฟูของไทโชคุ ไดโกะ และการที่บริษัทพากันเอาใจ-ดูแล Gen Z จิตใจอ่อนไหวง่าย เพื่อไม่ให้ถอดใจลาออกเร็วเกินไปหลังทำงานไม่นานตามที่ได้กล่าวไปแล้วนั่นเอง / japantoday, kyodo 


FAQ: วิกฤตแรงงาน Gen Z ญี่ปุ่น

Q1: ทำไมคนรุ่น Gen Z ในญี่ปุ่นถึงลาออกจากงานเร็ว?
A: เพราะรู้สึกไม่เข้ากับวัฒนธรรมองค์กร ถูกตำหนิจากหัวหน้าบ่อย หรือรู้สึกโดดเดี่ยวในที่ทำงาน ทำให้ความสุขในการทำงานลดลงจนตัดสินใจลาออกเร็ว

Q2: “ไทโชคุ ไดโกะ” คืออะไร?
A: คือบริการลาออกแทนที่ช่วยให้พนักงานลาออกได้โดยไม่ต้องพูดกับหัวหน้า แค่จ่ายค่าบริการ 12,000–29,800 เยน บริษัทตัวแทนจะจัดการทุกขั้นตอนให้เสร็จภายในไม่กี่ชั่วโมง

Q3: บริษัทญี่ปุ่นรับมือกับการลาออกของ Gen Z อย่างไร?
A: หลายบริษัทนำเทคโนโลยีและนโยบายใหม่มาใช้ เช่น แอป “Geppo” สำหรับติดตามสุขภาพใจ หรือระบบเลือกแผนก-ย้ายสาขาได้เอง เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและความพอใจให้พนักงาน

Q4: ระบบจ้างงานตลอดชีพของญี่ปุ่นยังมีอยู่ไหม?
A: แทบจะหมดไปแล้ว จากยุค ชูชิน โคโย ที่เคยให้พนักงานอยู่กับบริษัทจนเกษียณ ปัจจุบันแรงงานรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับอิสระและคุณภาพชีวิตมากกว่า

Q5: แนวโน้มแรงงานญี่ปุ่นในอนาคตจะเป็นอย่างไร?
A: บริษัทต้องแข่งขันกันดูแลใจคนทำงานมากขึ้น สร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างและยืดหยุ่น เพื่อรักษาคนเก่งไว้ให้ได้นานที่สุดในยุคที่ “ลาออกก็แค่กดปุ่มเดียว”


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer