ถ้าพูดถึงบริษัทบันเทิงที่ “พลิกเกม” ได้อย่างชัดเจนในปีนี้ คงหนีไม่พ้น  บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ONEE

เพราะนี่คือบริษัทที่เปลี่ยนตัวเองจาก “สถานีทีวีช่องวัน” ให้กลายเป็นธุรกิจบันเทิงครบวงจร และทำตัวเลขผลประกอบการเติบโตอย่างโดดเด่น

Q3/2568 ONEE สามารถสร้างรายได้รวม 2,007 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.83% เมื่อเทียบกับปีก่อน และเพิ่มขึ้น 12.17% จากไตรมาสก่อนกำไรสุทธิ 203.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.34% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 135.30% จากไตรมาสก่อน

สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของทีวีดิจิทัลในตลาดหุ้น

รองลงมาคือ ช่อง 33 บีอีซีเวิลด์ 984 ล้านบาท กำไร 36.72 ล้านบาท ส่วนช่องอมรินทร์ อมรินทร์คอร์เปอเรชั่น ตามมาติด ๆ 957.83 ล้านบาท แต่ยังขาดทุนอยู่ 16 ล้านบาท

อะไรคือ “ปัจจัยแห่งชัยชนะ” ที่ทำให้ ONEE ไปได้ไกลกว่าคู่แข่งในสมรภูมิที่กำลังร้อนแรง

1) โมเดลธุรกิจแบบครบวงจร End-to-End Entertainment Ecosystem

ONEE ไม่ได้พึ่งเงินจากโฆษณาทีวีเป็นหลักอีกต่อไป แต่สร้างรายได้แบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

เริ่มจากการผลิตคอนเทนต์ทีวี / OTT / ออนไลน์ สร้างและปั้นศิลปิน (Artist & Idol Management) รายได้จากโชว์ คอนเสิร์ต อีเวนต์ รายได้ต่างประเทศและการขายลิขสิทธิ์ Merchandise และ Fan Service ที่มีกำไรสูง รวมถึงบริการสตูดิโอและโปรดักชัน

ข้อดีสำคัญของโมเดลนี้ คือ การหารายได้หลายรอบจากผลงานสร้างสรรค์ (IP)ที่สามารถนำไปต่อยอดหารายได้ได้หลากหลายรูปแบบ   ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ลดความเสี่ยงจากการพึ่งรายได้แบบเดิม

2) Idol Business โตระเบิด กลายเป็น Growth Engine ตัวจริง

รายได้จาก Idol Marketing ใกล้แตะ 1 พันล้านบาทในไตรมาสเดียว ( 996.62 ล้านบาท เติบโต 66.59% YoY )

เบื้องหลังตัวเลขอันมหาศาลมาจากกลุ่มศิลปินมากกว่า 300 คน ซึ่งศิลปินที่ได้รับความนิยมในไตรมาส 3 ปี 2568 ได้แก่ “วิน-เมธวิน”, “เจมีไนน์-โฟร์ท”, “ต้าห์อู๋-ออฟโรด”, “ปอนด์-ภูวินทร์”, “จิมมี่-ซี”, “สกาย-นานิ”, “ลูกหมี-ซอนญ่า” ที่รับงานโชว์ตัว งานพรีเซนเตอร์ Brand Ambassador ให้กับแบรนด์ชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ ในทุกกลุ่มสินค้า รวมทั้งการจัดคอนเสิร์ตและแฟนมีตทั้งในไทยและต่างประเทศ

ในไตรมาสนี้ ONEE จัดงานรวม 84 อีเวนต์ แบ่งเป็นในประเทศ 27 งาน และต่างประเทศ 57 งาน

ครอบคลุมทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกา โดยจัดที่ไต้หวัน, ฮ่องกง, จีน, เวียดนาม, ญี่ปุ่น และอื่น ๆ

นอกจากนี้ยังมีการขายสินค้าศิลปิน (Merchandise) ที่มีมาร์จินสูงมาก

3) Content & IP แข็งแกร่ง ทำเงินได้หลายรอบ

ละครและรายการที่มีคนดูเยอะ เช่น  ทายาทหมายเลข 1” 1, ผาแดงนางไอ่, สลักรักในแสงจันทร์

ซีรี ส์Boy-Love, Boy-GIrl และ Girl-Love ยอดนิยม อาทิ“ ทำนายทายทัพ” และวาไรตี้เรตติ้งสูง เช่น The Golden Song, ดวลเพลงชิงทุน

ONEE ใช้กลยุทธ์ที่น่าสนใจคือ Potential Revenue at Minimal Cost คือการทำรายได้หลายรอบจากคอนเทนต์เดียว ผ่านทีวี ออนไลน์ ลิขสิทธิ์ OTT อีเวนต์ และสินค้าแฟนคลับ

4) ฐานผู้ชมออนไลน์มหาศาล

ในวันที่คนย้ายจากหน้าจอทีวีสู่มือถือ ONEE ได้สร้างฐานออนไลน์อย่างแข็งแรง มีผู้ติดตามทุกแพลตฟอร์มรวม 200 ล้าน Followers และมี One Playground บน YouTube ที่มียอดวิวมากกว่า 255 ล้านวิว

ทำให้บริษัทลดการพึ่งพาทีวี และขยายฐานกลุ่ม Gen Z และ Gen Y ที่อยู่บนออนไลน์

นอกจากนี้ยังมี OneD Application ซึ่งช่วยให้บริษัทควบคุมการเผยแพร่และเก็บข้อมูลผู้ชมได้เอง

5) บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ดันกำไรพุ่งแรง

แม้รายได้ฝั่งโฆษณาและ Content Marketing จะลดลง 19% YoY แต่รายได้จาก Idol Marketing ซึ่งมีมาร์จินสูงมาก โตแบบพุ่งทะยาน

ส่งผลให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 135.3% QoQ

นี่คือผลลัพธ์ของการเปลี่ยนโครงสร้างรายได้ เพิ่มรายได้ในกลุ่ม High Margin ลดต้นทุนการผลิตต่อชิ้น

หรือพูดง่าย ๆ คือ “ขายของแพงที่ไม่ต้องลงทุนเองมาก

ในโลกบันเทิงที่หมุนเร็วกว่าเดิมทุกวัน  ONEE พิสูจน์แล้วว่าการพลิกตัวเองจาก “ช่องทีวี” สู่ Entertainment Ecosystem ที่ขับเคลื่อนด้วย IP และ Idol Business คือเกมที่เดินได้ถูกทิศทางและสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด

แต่อย่างไรก็ตาม  เกมนี้ยังไม่จบ ONEE ยังต้องรับมือกับความท้าทายสำคัญหลายด้าน

ทั้งความผันผวนของธุรกิจ Idol ที่วิ่งตามกระแสแทบทุกสัปดาห์, การแข่งขัน Soft Power กับยักษ์ใหญ่เกาหลี–จีนที่ลงทุนมหาศาล,
รวมถึงความเสี่ยงของตลาดคอนเสิร์ตและ Fan Meeting ที่อาจกำลังเริ่มล้นตลาด (Over-supply)

เกมนี้ยังอีกยาวไกล

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer