ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นกแอร์ ต้องบินฝ่ามรสุมที่พัดเข้ามามากมายทั้งเรื่องนักบินประท้วงไม่ยอมทำงานทำให้ต้อง “ยกเลิก” ถึง 9 เที่ยวบินในวันเดียว
การขาดแคลนนักบินในบริษัท, การมีหนี้สิน 6,500 ล้านบาท จนมีข่าวลือว่าอาจมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาเป็น “เจ้าของ” ทั้งๆ ที่นกแอร์เป็นสายการบินคนไทย โดยมีบริษัท “การบินไทย” ถือหุ้นอยู่ 39% (ล่าสุดนกแอร์มีการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ 1,700 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนหุ้นตอนนี้เปลี่ยนไปจากตารางข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ยังไม่อัปเดต)

ปัญหาเหล่านี้จึงเกิดการเปลี่ยนตัว CEO เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วเมื่อ “พาที สารสิน” ขอลาออกจากตำแหน่งพร้อมแต่งตั้ง “ปิยะ ยอดมณี” ขึ้นมาแทน
ต้องบอกว่าทุกวิกฤตที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินลำนี้ ทำให้ภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นอยู่ในสถานะ “ติดลบ” ทั้งในสายตาผู้โดยสารและนักลงทุน
เมื่อมองสารพัดตัวเลขทางธุรกิจ เครื่องบินลำที่ชื่อนกแอร์อยู่ในสภาวะป่วยขั้นโคม่า ทีมผู้บริหารที่เปรียบเสมือนกัปตันต้องหาวิธีบินหนีตาย
ที่น่าสนใจใครจะเชื่อว่าครั้งหนึ่งธุรกิจที่เคยหอมหวนทำกำไรให้ตัวเองพันกว่าล้านบาท แต่แล้ววันนี้นกแอร์ต้องปรับโครงสร้างธุรกิจค้นหา “Turning Point” ของตัวเองให้เจอเร็วที่สุด

ทำให้เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว นกแอร์ต้องสลัดปีกเปลี่ยนแผนธุรกิจตัวเอง พร้อมกับระดมทุนมาไว้ในมือได้ 1,700 ล้านบาท แล้วสิ่งที่นกแอร์ต้องสะสางมีอะไรบ้าง?
แรกสุดคือ ลดต้นทุนนำเครื่องบินที่ใช้มานานออกจากระบบ เพื่อลดค่าซ่อมบำรุง
ให้เครื่องบิน 1 ลำบินนานขึ้นจาก 7 ชั่วโมงต่อวัน เปลี่ยนเป็น 9 ชั่วโมง/ลำ/วัน และอีกสารพัดวิธีในการลดต้นทุนในการทำธุรกิจ
รวมไปถึงการปรับ Positioning ตัวเองจากสายการบิน Low Cost มาเป็น “Lifestyle Airlines” ที่เน้นบริการและขายตั๋วโดยสารที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป
แต่ถึงอย่างไรในสายตานักท่องเที่ยวและลูกค้าก็ยังมองว่านกแอร์อยู่ในน่านฟ้า Low-Cost ที่ในสนามนี้ทุกสายการบินเลือกที่จะเล่นเกมราคาชนิดที่ “ขายตั๋วเครื่องบินไป ต้องปาดเหงื่อไป”
นกแอร์เองถึงจะเริ่มปรับตัวเอง แต่ก็ยังหนีไม่พ้นวังวนเดิมๆ ที่ต้องอัดฉีดราคาเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มานั่งเครื่องบินตัวเอง ยิ่งช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมาภาครัฐได้กระตุ้นการท่องเที่ยว อัตราการใช้บริการภาพรวมธุรกิจสายการบินก็เติบโตต่อเนื่อง
สิ่งที่ตามมาคือ เมื่อผู้โดยสารมีมากขึ้น สายการบิน Low-Cost ก็มากขึ้น การแข่งขันราคาก็รุนแรงทวีคูณ
เกมราคาจึงเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ต้องทำ สวนทางกับต้นทุนราคาน้ำมันอากาศยานแพงขึ้น จาก 63.54 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 83.30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในครึ่งปีแรก (ที่มา:นกแอร์)
ไม่แปลกที่ผลประกอบการหลายสายการบิน Low Cost ในครึ่งปีแรกจะขาดทุนกันทั่วหน้ารวมไปถึงนกแอร์
แต่การขาดทุนของนกแอร์ครั้งนี้กลับมีสัญญาณไปในทิศทางที่ดีหากนำมาเปรียบเทียบกับครึ่งปีแรกในปี 2017

เหตุผลที่ทำให้อาการบาดเจ็บของนกแอร์ดีขึ้นนอกจากการปรับโครงสร้างธุรกิจในช่วงปลายปีที่แล้ว ด้วยการลดต้นทุนต่างๆ อีกหนึ่ง “ยารักษา” ชั้นดีก็คือ “การตลาดเชิงรุก” ด้วยการปรับบริการครั้งใหญ่
เช่น การร่วมมือกับไทยกรุ๊ปเพิ่มสิทธิพิเศษแก่ผู้โดยสารที่เป็นสมาชิกนกแฟนคลับ และสมาชิกรอยัล ออร์คิด พลัส ที่ผู้โดยสารจะได้รับไมล์สะสมเมื่อเดินทางกับนกแอร์
การขยายเส้นทางบินไปต่างประเทศเพิ่ม โดยเฉพาะการขยายเส้นทางบินไปยังจีน ทำให้ผู้โดยสารในเส้นทางจีนเพิ่มขึ้น 113.25% และอัตราการเติบโตผู้โดยสารในภาพรวมเพิ่มขึ้น 11.68%
สุดท้ายที่เคยเป็นปัญหาในอดีตที่ทำให้เรตติ้งความนิยมนกแอร์หล่นฮวบดิ่งลงต่อเนื่องจนเกิดประเด็นดราม่าในออนไลน์หลายครั้ง นั่นคือหลายเที่ยวบินโดยสาร delay ช้ากว่ากำหนดทั้งขาไป-ขากลับ
แต่เวลานี้ นกแอร์พยายามแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ โดยปัจจุบันสามารถทำได้ดีเมื่อเครื่องบินของตัวเองทั้งขาไป-ขากลับ ตรงต่อเวลาถึง 85% จากเที่ยวบินทั้งหมด (ข้อมูล :นกแอร์)
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่
Website: Marketeeronline.co / Facebook: www.facebook.com/marketeeronline
