ทำความรู้จัก ไตรนุภาพ จิระไตรธาร ชีวิตที่ออกแบบให้ลูกค้ามีความสุขในทุกธุรกิจ

เมื่อต้องรับตำแหน่งผู้บริหารบริษัทตั้งแต่อายุประมาณ 26 – 27 ปี แน่นอนต้องเจอกับความคาดหวังจากคนรอบข้างจนอาจจะกลายเป็นความกดดัน  

แต่กลับเป็นความท้าทายของ ไตรนุภาพ จิระไตรธาร (เจได) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ครีเอตุส คอร์โปเรชั่น จำกัด บริษัทผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชิงนวัตกรรมและโซลูชั่นที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกมากว่า 38 ปี

ผลิตภัณฑ์หลักๆเช่นเครื่องนับเงิน เครื่องทำลายเอกสาร เครื่องตรวจจับโลหะต้องสงสัยฯลฯ เป็นการทำธุรกิจแบบ B2B ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นสถาบันการเงิน และบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย

นอกจากการขึ้นไปเป็นผู้บริหารรุ่นต่อไปของธุรกิจครอบครัวที่ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือขององค์กรอย่างมากเจได ยังเป็นผู้บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท Cobalt International จำกัด เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแว่นตาแฟชั่นไลฟ์สไตล์ และเครื่องประดับ ธุรกิจที่เป็น Passion ส่วนตัวของเขาอีกด้วย

2 ธุรกิจที่แตกต่างกันคนละขั้วแต่เขายืนยันว่ามีเป้าหมายในการทำงานที่เหมือนกัน

ตามไปดูกันว่าเจได มีวิธีคิด วิธีการทำงาน และเรื่องราวต่างๆในชีวิต อย่างไรบ้าง บอกไว้ก่อนว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว 

ความฝันตอนเด็ก เรียนจบแต่งงานเลย

เจได เริ่มต้นเล่าเรื่องของเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเจือด้วยเสียงหัวเราะเป็นระยะ ๆ เป็นผู้บริหารหนุ่มวัย 31 ปี ที่มีบุคลิกของการมองโลกแบบรื่นรมย์อย่างมาก

“ช่วงวัยรุ่นผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าอยากรีบเรียนให้จบเพื่อที่จะได้แต่งงานตอนอายุ 25 ปี  เรียนจบมีลูกเร็วๆ จะได้ให้ลูกโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นไปกับเราได้  มีภาพแบบขับรถเปิดประทุนไปรับลูกที่โรงเรียนลูกก็เฟี้ยวพ่อก็ยังฟ้าวอะไรประมาณนั้น”

แต่เมื่อชีวิตออกแบบไม่ได้เองทั้งหมด

“วันนี้ผมเลยยังไม่มีครอบครัว ยังไม่มีแฟนและ Proud to be โสด”

เจได เป็นลูกชายคนโต (มีน้องสาวอีก 1 คน) ของคุณวันชัย  จิระไตรธาร Presidentบริษัท ครีเอตุส คอร์โปเรชั่น จำกัดและคุณสุทธินี  (หล่อกันภัย) จิระไตรธาร Managing Director

เริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียน International Community School  (ICS) ตั้งแต่ kindergarten ถึง เกรด 12    เป็นคนชอบความไฮเท็ค ชอบเรื่องหุ่นยนต์ และเครื่องบินอยู่เลยไปเรียนต่อปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมใน Mechatronics ที่ University of Manchester 

จบมายังไม่สะใจ เลยไปเรียนปริญญาโทต่อที่ National University of  Singapore  ทางด้าน Mechatronics เพิ่มเติม  

ตั้งเป้าไว้ว่าจบตรีแล้วจะแต่งงาน แล้วทำไมความคิดเปลี่ยน

“เลิกกับแฟน ครับ” (หัวเราะ)

ระหว่างที่รอเรียนต่อโทเขาได้ไปไปเรียนดูเพชรพลอยมาอีกด้วย เพราะเป็นคนที่ชอบแฟชั่น ชอบอะไรที่สวยงาม  ชอบถ่ายภาพ  ตอนที่เรียนต่อที่สิงคโปร์ก็จริงจังในการถ่ายรูปถึงขนาดที่ช่วงหนึ่งไปรับจ้างเป็นช่างภาพ

“ปริญญาโทที่จริงปีหนึ่งก็สามารถจบได้ แต่ผมเรียนปีครึ่งเพราะมัวแต่เล่นกล้อง เล่นดนตรีที่โบสถ์ ไปช่วยร้านอาหารของเพื่อนคุณแม่ไปทำกาแฟอยู่ประมาณ 6 เดือน จากจุดนี้เองเลยหลงรักในการกินกาแฟ ก็เลยเพิ่มความฝันขึ้นมาอีกว่าต้องการมีร้านกาแฟเป็นของตัวเอง”

ในขณะที่กำลังใช้ชีวิตอย่างสนุก ชีวิตกำลังมีสีสันสุดๆ หน้าที่และความรับผิดชอบต่อธุรกิจครอบครัวก็เกิดขึ้น

เจได ต้องกลับมาช่วยธุรกิจครอบครัวอย่างจริงจังเมื่อประมาณ 6 ปีก่อน เมื่อทีมงานคนหนึ่งของคุณพ่อที่ซึ่งดูแลหลักทางด้านต่างประเทศ ได้ออกไป เขาเลยต้องมารับผิดชอบงานทางด้านนี้แทนคนเก่า

เริ่มทำงานได้ไม่นาน คุณพ่อไว้ใจมากเห็นว่าลูกเรียนจบปริญญาโทมาก็มอบตำแหน่งBusiness Development Manager, Executive Vice President และ CEO ตามลำดับ

 “อาจจะเป็นวิธีคิดของคุณพ่อที่จะให้เราแกร่งเร็วขึ้น เพราะผมต้องเรียนรู้เองเยอะมาก  ต้องใช้คำว่าพรแสวงอย่างหนัก  จากที่เคยคิดว่าอย่างมากตัวเองแค่อยู่เบื้องหลังเฉยๆ  คุณพ่อเป็นคนวางแผน แล้วผมเป็นคนปฏิบัติตาม  มากที่สุดคืออยู่หลังเคาน์เตอร์ช่วยอธิบายลูกค้าในเรื่องต่างๆ  แต่ไม่เคยคิดว่าต้องไปหาลูกค้าตามแบงก์และบริษัทใหญ่ ๆด้วยตัวเอง ”

โดยบุคลิกส่วนตัวเจได เป็นคนมีกิจกรรมหลากหลายก็จริงแต่เขาบอกว่าเป็นคนขี้อาย  มากๆเวลาตื่นเต้นนี่พูดติดอ่างไปเลย แต่หน้าที่ๆได้รับมาทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง  ให้มีความมั่นใจ และฝึกพูดให้เก่งขึ้น

ในธุรกิจของครีเอตุสแบ่งออกเป็น 5 หมวดหลักๆคือ1. มีอุปกรณ์ของสถาบันการเงินและก็ธุรกิจที่ใช้เงินสด 2.กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย 3.กลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ  4.พวกกลุ่มออโต้ไอดีที่ให้บริการเกี่ยวกับระบบบาร์โค๊ดครบวงจร 5. ระบบเครื่องใช้สำนักงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานการบริหารงานต่าง ๆ ขององค์กร

สินค้าทั้งหมดที่ครอบคลุมทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวก สามารถใช้บริการทั้งหมดในบริษัทกลายเป็นจุดแข็งที่สำคัญของครีเอตุส ที่ต่างจากบริษัทอื่นๆ

“ถ้าพูดถึงรายใหญ่ที่อยู่ในตลาดนี้ผมเชื่อมั่นว่าเราครอบคลุมได้เกือบหมดอย่างธนาคารใหญ่ๆ ก็เป็นลูกค้าเราหมดแล้วเช่น  SCB, TMB, KBANK, กรุงไทย, ธกส., แบงก์ชาติ, ศูนย์เงินสดทั่วประเทศไทยก็ใช้เครื่องเราแล้วที่พูดมาทั้งหมด นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยของเราได้รับความไว้วางใจให้ดูแลท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ,ศาล,ศูนย์ราชการ,ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ,และโซลูชั่นอื่นๆของเราก็ถูกเลือกใช้โดยองค์กรขนาดใหญ่ทั่วประเทศเช่นกัน  

อะไรคือ  Key Success ของครีเอตุส

เจไดบอกว่า อย่างแรกคือการที่มีคุณพ่อเป็นต้นแบบของการไม่ยอมแพ้

“คุณพ่อสามารถมีวิธีที่จะขายของที่ยากที่สุด  มีมูลค่าสูง  และดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้มากที่สุดให้ผมดูตลอดเวลาท่านจะย้ำเสมอว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้”

ในขณะเดียวพนักงานต้องมีดีเอ็นเอเดียวกันคือไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าต้องขายให้ได้อย่างเดียวเท่านั้นแต่ต้องเข้าใจปัญหาที่ลูกค้าเจออยู่ด้วย ทุกคนต้องคิดแบบ Outside In  คิดแทนลูกค้าเป็น และไม่ได้แค่ think outside แต่ต้องเชื่อว่าจริงๆ แล้วทุกอย่างไม่มีกรอบ ไม่มี Box ด้วยซ้ำไป แล้วทุกอย่างก็มีความเป็นไปได้   

“ความท้าทายของผมคือทำอย่างไรก็ได้ให้กระบวนการในการคัดเลือกคน เป็นมากกว่าเพียงแค่หาทีมงานมาทำงาน แต่เป็นการหาคนที่มา follow passion เดียวกันกับพวกเรา ผมไม่ได้ต้องการคนที่จะมาช่วยผมขายของ แต่ต้องการคนที่มีเป้าหมายเดียวกันมาทำงาน”

เขายังมองไกลไปถึงว่าถ้าได้ทีมงานที่เข้าใจลูกค้าก็เท่ากับว่าเขาได้ช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้ดีขึ้น

“ถ้าเครื่องนับเงินที่ผมขายไปสามารถช่วยให้ทีมงานของแบงก์มีความสุขมากขึ้น ประหยัดเวลาในการนับเงิน ลดความเครียดในการจับเงินสด  มีเวลาบริการลูกค้าเขาให้ดีขึ้น ส่วนเครื่องตรวจโลหะต้องสงสัยของผมที่ถูกเลือกใช้ในระดับนานาชาติช่วยให้เจ้าหน้าที่และประชาชนรู้สึกถึงความสบายใจเมื่อเข้ามาในพื้นที่ เมื่อคุณภาพชีวิตของเขาดีขึ้น กลายเป็นพลเมืองที่พร้อมจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้กับคนอื่นๆได้ ลองคิดดูว่า ถ้าเราสามารถทำให้ทุกๆคนในทุกๆ work place เป็น happy work place , happy work life ได้จริงๆ เมืองไทยก็น่าอยู่มากขึ้น”

งานของครอบครัวก็หนัก แต่ก็ยังแบ่งเวลาให้กับธุรกิจที่ชอบ

เป็นเด็กวิศวะที่เรียนหนัก แต่มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย สนใจแฟชั่น ชอบแต่งตัวและสิ่งที่เขาชื่นชอบมากเป็นพิเศษอีกอย่าง คือ แว่นตา แนวแฟชั่นไลฟ์สไตล์ โดยตั้งบริษัท Cobalt มีแบรนด์ที่ดูแลอยู่ 6 แบรนด์ โดยมี Brand แว่นตา 5  Brand คือ Blake Kuwahara จากญี่ปุ่น, Tavat จากอิตาลี, IZIPIZI จากฝรั่งเศส, Spektre จากอิตาลี และ  Cazal จากเยอรมนี ส่วนอีก 1 Brand คือ Brand เครื่องประดับ M.Cohen จากสหรัฐอเมริกา

นอกจากตามหน้าร้านต่างๆและในห้างสรรพสินค้าแล้ว ได้ขยายไปเปิดหน้าร้านเองเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาที่ Siam Discovery ชั้น M ชื่อ Cobalt และได้เป็น pop-up อีกที่หนึ่งที่ Siam Center เมื่อเดือนกรกฎาคม

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ  Cobalt เป็นระดับกลางถึงสูงคือราคาประมาณราคา 1,250 -28,000 บาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันสูงมาก

แต่สำหรับเจได เขากลับคิดว่าสงครามการตลาดที่กำลังดุเดือดนี้ กลับเป็นโจทย์ที่สนุกตรงที่ว่าทำอย่างไรให้ลูกค้ามาเลือกเราให้ได้

“เราต้องลงแข่งด้วยตัว Story  ด้วยตัวของโปรดักท์ล้วนๆ รวมทั้งเอกลักษณ์เฉพาะตัว  ของผู้จัดจำหน่ายด้วย ที่ผ่านมาในธุรกิจแว่นตาจะเน้นวอลลุ่มเป็นหลัก มีการตั้งเป้าให้ไป ขายได้ตามเป้าก็อาจจะมีโบนัสพิเศษเท่าไหร่อย่างไรก็ว่ากันไป   จากนั้นก็เอาของไปส่ง แล้ว อาจจะมีการนัดคุยกันบ้างทุกไตรมาสแค่นั้น”

ซึ่งเจไดบอกว่าถ้าทำแบบนั้นก็ไม่มีอะไรที่ต่างจากคนอื่นแต่เขากับเจ้าของแบรนด์ต้องมีความเห็นตรงกันว่าต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า ทำให้แบรนด์น่าประทับใจ จนลูกค้าต้องไปตามหาซื้อแบรนด์ตามร้านค้า หลังจากนั้นเรื่องของเป้า และยอดขายจึงจะเป็นสิ่งที่ตามมา

จะขายของใหญ่แบบ B2B หรือขายของเล็กแบบ B2C หลักการเดียวกัน

หลายๆคนอาจจะมองว่าธุรกิจแว่นตาเป็นธุรกิจแฟชั่น เป็นธุรกิจรีเทลที่ใครทำก็ได้ไม่น่ายาก     

“สิ่งที่ผมทำไม่ใช่แค่เพียงธุรกิจแว่นตา ผมกำลังสร้างพื้นฐานใหม่ให้กับวงการแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ทั้งหมดเลย  ผมอยากจะเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของของคนไทยเกี่ยวกับมุมมองของ เวลาที่เขาดูโปรดักท์ว่า ไม่ใช่เลือกซื้อเพราะแค่เพียงเรื่องของความสวยความงามเท่านั้น แต่ต้องมีเรื่องราวและฟังก์ชั่นด้วย”

ซึ่งเป็นวิธีคิดเดียวกับการขายสินค้าของครีเอตุส ที่ตั้งใจจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาบิสสิเนสของลูกค้าให้ได้จริงๆ

“ทุกครั้งที่ไปนำเสนอขายสินค้าต้องศึกษาก่อนว่า สินค้าตัวนี้ของบริษัทจะช่วยให้การทำธุรกิจของลูกค้าดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง จะไปช่วยกำจัดปัญหาที่เขามีอยู่และสร้างโอกาสใหม่ๆที่เขาอาจจะคิดไม่ถึง อย่างไร แว่นตาก็เช่นเดียวกันคนที่ใช้แว่นของผมก็ต้องมีความสุข ดูดีขึ้น ใส่แล้วเท่ มีความภูมิใจ และสายตาของเขาต้องได้รับการปกป้องมากขึ้น ไม่ใช่ใส่เพราะเคยเห็นแว่น แบรนด์นี้เคยอยู่บนหน้าดาราเท่านั้น ”

ใครคือต้นแบบในการทำงาน ของคุณ

เจได ตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดว่า

“คุณพ่อคุณแม่ครับ ทั้ง 2 คนเป็นแบบอย่างของความอดทน มีวินัย มุ่งมั่น  คุณพ่อก่อนที่จะมาตั้งบริษัทท่านเป็นเซลเครื่องพิมพ์ดีด และเครื่องถ่ายเอกสารมาก่อน ฝึกภาษาอังกฤษจากการอ่านหนังสือพิมพ์กับพระคัมภีร์ แต่ก็สามารถมาขายของที่เต็มไปด้วยเทคนิคคัล จนประสบความสำเร็จได้อย่างดีมากๆ”    

คุณพ่อทำให้เขามั่นใจว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ วุฒิการเรียน การศึกษา สำหรับเขาไม่สำคัญ ของแค่คุณเชื่อก่อนว่าคุณทำได้

“ดังนั้นผมจึงพร้อมที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆเสมอ ผมต้องการที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา   ความอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทำให้ผมยังคงต้องการที่จะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง”

กานต์  ตระกูลฮุน  อดีต ซีอีโอ เอสซีจี เป็นอีกท่านหนึ่งที่เขาประทับใจในเรื่องราวของ การเป็นผู้บริหารบริษัท 100 ปี  ที่มีการเปลี่ยนแปลงองค์กรให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ชอบวิธีในการทำงานกับคน การสอนให้ผู้บริหารเปิดใจรับฟังความคิดเห็นคนอื่นตลอดเวลา

“ผมเชื่อว่าในองค์กร 100 กว่าปีมีคนจำนวนมากมาย คนอาจจะไม่ได้เป็นอย่างคุณกานต์ทั้งหมด  แต่เนื้อแท้ของท่านมันเคลียร์มาก เวลาผมไปเจอกับลูกค้าที่นั่นผมสัมผัสได้”

Work-Life Balance ของ ไตรนุภาพ จิระไตรธาร

เจได บอกว่าในการทำงานเขาเต็มที่กับทั้ง 2 บริษัท บอกยากว่าแบ่งเวลาอย่างไร และในเรื่องของการใช้ชีวิตก็จะเต็มที่ในทุกๆเรื่องเหมือนกันเช่นการออกกำลังกาย ทานอาหาร และพักผ่อน จะทานอาหารคลีน เพราะไม่อย่างนั้นแล้วจะรู้สึกว่า สมองไม่ค่อยเคลียร์

“ผมจะเยอะในเรื่องทานอาหารมาก ไม่กินขนมเพราะรู้ว่าไม่มีคุณค่า  เป็นแค่ความสุขชั่วคราว เลือกที่จะออกกำลังกายทุกเช้า เพราะการที่เรามีวินัยในการดูแลสุขภาพร่างกายทำให้เรามีวินัยในเรื่องอื่นๆด้วย”

เขายังเป็นคนไม่ฟังเพลงอกหัก แต่จะเลือกฟังเพลงของคริสเตียน ที่เน้นย้ำว่าเราเป็นที่รักของพระเจ้า แล้วเราเป็นลูกของพระเจ้าที่ทำได้ทุกอย่างและมากกว่า

อย่างไรก็ตามด้วยความเยอะในทุกสิ่งหลากหลายกิจกรรมของเขาต้องยอมละทิ้งไปบ้าง เมื่อเวลาไม่ได้จริงๆ

“ผมเรียนรู้ว่าเพราะเวลามีเท่ากันเราจำเป็นต้องทิ้งสิ่งที่เรารักบางอย่างเช่นการถ่ายรูป การสังสรรค์ตอนกลางคืน  อาจจะเล่นดนตรีน้อยลงไปเยอะ  ซีรีส์ที่ใช้เวลานานในการดู ก็เลือกที่จะไม่ดูหรือละทิ้งการเล่นกีฬาบางอย่างกับเพื่อน”

แม้ยอมทิ้งในสิ่งที่รักบ้าง แต่เขามั่นใจว่า ทุกวันนี้เขาได้ใช้ชีวิตที่คุ้มที่สุด และมีพลังเต็มที่กับงานใน 2 บริษัทที่กำลังรับผิดชอบแน่นอน

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline          



ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ

.
Marketeer ฉบับดิจิทัล : อ่านบน Ookbee / อ่านบน meb
.
Marketeer ฉบับ PDF : https://marketeermagazine.com/
.
Marketeer ฉบับกระดาษ : สั่งซื้อทางไปรษณีย์ Inbox มาที่ เพจ Marketeer Online