รายได้สโมสรฟุตบอลไทย มาจากไหน ? วิเคราะห์เส้นทางรายได้ของสโมสรฟุตบอลไทย ถึงไม่ใช่ยุคทอง แต่รายได้ไม่ธรรมดา
กีฬาฟุตบอลถือได้ว่าเป็นกีฬาที่เป็นสากลที่สุดของโลก จากการเป็นกีฬาที่มีแฟนๆ ที่ดูกีฬาฟุตบอลมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก
ส่วนในประเทศไทย กีฬาฟุตบอลไทยลีก ในวันนี้แม้จะดูไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นลีกที่ได้รับความนิยมสูงสุดของโลก
แถมยังเป็นช่วงที่ฟุตบอลลีกของไทยไม่ใช่อยู่ในยุคทอง จากทีมชาติไทยทำผลงานได้ไม่ดีนัก
แต่ฟุตบอลลีกของไทยก็ถือว่าเป็นหนึ่งในกีฬาที่แฟนฟุตบอลชาวไทยให้ความสนใจเช่นกัน
การแข่งขันไทยลีกในฤดูกาล 2561 5 ทีมที่ได้อันดับไทยลีกได้แก่
1. บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
2. ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด
3. การท่าเรือ เอฟซี
4. เมืองทอง
5. เชียงราย ยูไนเต็ด
ส่วนฤดูกาล 2562 (22 กุมภาพันธ์ 2562 – 27 ตุลาคม 2562) อัปเดต 17 กันยายน 2562 พบว่า เชียงรายยูไนเต็ดเป็นทีมที่ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในปัจจุบัน ส่วนบุรีรัมย์ การท่าเรือ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด และเมืองทอง ยังคงเป็นรองด้วยอันดับ 2-3-4-5 ตามลงมา
แม้ฟุตบอลอันดับในปียังคงไม่นิ่ง
แต่เมื่อดูตัวเลขจากกระทรวงพาณิชย์ พบว่าในปี 2561 ทีมฟุตบอลไทยที่มีรายได้สูงสุดได้แก่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด รองลงมา คือเมืองทองยูไนเต็ด และ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด
นอกจากนี้ จากการรวบรวมข้อมูลของ EIC ยังพบว่ามูลค่ารายได้รวมของสโมสรใน “ไทยลีก” ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของไทย มีรายได้รวมอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,900 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 16.5% ต่อปี
รายได้สโมสรฟุตบอลไทย มาจาก
1. แบรนด์สปอนเซอร์
รายได้ของสโมสรฟุตบอลต่างๆ ที่เข้ามาสนับสนุน ผ่าน Sport Marketing และ CSR อย่างเช่น เมืองทอง ยูไนเต็ด มีสปอนเซอร์หลักอย่าง SCG ที่เป็นแบรนด์ผู้สนับสนุนเมืองทอง ยูไนเต็ด มาตั้งแต่ปี 2555 ได้เซ็นสัญญาเป็นผู้สนับสนุนต่ออีก 5 ปี (2560-2565) ด้วยงบประมาณสนับสนุนรวม 600 ล้านบาท และสปอนเซอร์อื่นๆ อีกมากมาย

2. เสื้อเชียร์และสินค้าที่ระลึก
สโมสรฟุตบอลที่ได้รับความนิยมสูง จะมีรายได้ส่วนหนึ่งมาจากการขายเสื้อเชียร์ และสินค้าที่ระลึกในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้แฟนคลับได้ซื้อใส่เชียร์ และซื้อเก็บเป็นที่ระลึกในฐานะแฟนคลับตัวยง
สังเกตได้เลยว่าในช่วงที่ทีมสโมสรฟุตบอลทีมไหนอยู่ในช่วงขาขึ้น ร้านขายของที่ระลึกของสโมสรจะแน่นขนัดด้วยแฟนบอลมากเป็นพิเศษ
3. ตั๋วเข้าชมการแข่งขัน
รายได้ส่วนหนึ่งของสโมสรฟุตบอลมาจากการขายตั๋วเข้าชมการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก โดยสนามเหย้า ธันเดอร์ คาสเซิล สเตเดียม หรือช้างอารีนา ของทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถือเป็นสนามฟุตบอลที่มีความจุมากถึง 35,000 ที่นั่งเลยทีเดียว

4. ซื้อขายนักเตะ
ธุรกิจซื้อ-ขายนักเตะของสโมสรเป็นหนึ่งในสิ่งที่สร้างรายได้ให้กับสโมสรฟุตบอลไทย โดยข้อมูลจาก EIC พบว่าในปี 2562 มูลค่านักฟุตบอลที่เล่นในไทยลีกมีมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น 16.3% ต่อปี
จากเฉลี่ย 9.97 หมื่นยูโร (ประมาณ 3.4 ล้านบาท) ในปี 2558 เป็น 1.16 แสนยูโร (ประมาณ 4 ล้านบาท) โดยเฉลี่ย
5. เช่าสนาม
นอกจากรายได้ที่กล่าวมาทั้งหมด สโมสรฟุตบอลไทยบางสโมสรยังมีรายได้จากการเปิดให้ผู้สนใจเข้ามาเช่าสนามสโมสรเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ อย่างเช่น แข่งขันบอลในองค์กร หรือการจัดคอนเสิร์ตและอื่นๆ
ทั้งนี้ แม้สโมสรฟุตบอลไทยในปัจจุบันจะมีเพียงไม่กี่ทีมที่ทำผลงานได้โดดเด่นจนเป็นที่หมายปองของผู้สนับสนุนและแฟนบอล แต่มาร์เก็ตเธียร์เชื่อว่า พลังแฟนบอลไทย และศักยภาพของนักฟุตบอลไทยสามารถไปไกลได้มากกว่านี้ แน่นอน
Marketeer FYI
สโมสรฟุตบอลไทยจากทีมองค์กรสู่สโมสรฟุตบอล
ถ้าใครอายุเกิน 35 ปี อาจจะเคยได้ยินชื่อทีมฟุตบอลธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และอื่นๆ ที่เป็นทีมฟุตบอลไทยในยุคแรก ที่มีการแข่งขันในรูปแบบนักฟุตบอลกึ่งอาชีพ และนักฟุตบอลอาชีพ
โดยในทีมฟุตบอลยุคนั้นเกิดจากการสนับสนุนขององค์กรต่างๆ ที่ทำโครงการ CRS ส่งเสริมสุขภาพของคนไทยผ่านกีฬา และเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนให้เกิดการผลักดันให้เกิดการแข่งขันฟุตบอลในประเทศไทย
จนมาถึงยุคที่สโมสรฟุตบอลแห่งประเทศไทยมีความต้องการที่จะยกระดับทีมฟุตบอลไทยและนักฟุตบอลไทย สู่ฟุตบอลอาชีพที่มีมาตรฐานสากล
ซึ่งหนึ่งในข้อกำหนดของการเป็นทีมฟุตบอลระดับอาชีพ คือ สโมสรฟุตบอลต้องจดทะเบียนสโมสรในรูปแบบบริษัท และการที่ต้องจดทะเบียนสโมสรขึ้นเป็นบริษัทนี้เอง ทำให้ผู้สนับสนุนเดิมๆ บางรายเริ่มมองว่ามีความยุ่งยาก และเริ่มมองว่าการส่งเสริมกีฬาฟุตบอลในรูปแบบบริษัทจำเป็นต้องใช้เงินทุนที่สูงขึ้น
Cr. ภาพจากเฟซบุ๊ก Muangthong United FC. และ BURIRAM UNITED
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
