Euro Monitor คาดการณ์ว่ามูลค่ารวมตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นของไทยในปี 2562 จะแตะไปถึง 18,000 + ล้านบาท และมีร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 21%
สอดคล้องกับข้อมูลของ JETRO Bangkok ที่บอกว่าจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยนั้นมีมากขึ้นทุกปี
ปี 2558 มี 2,619 ร้าน
ปี 2559 มี 2,713 ร้าน
ปี 2560 มี 2,774 ร้าน
ปี 2561 มี 3,004 ร้าน
ปี 2562 มี 3,637 ร้าน

โดยประเภทของร้านอาหารญี่ปุ่นในไทย มีร้านที่อยู่ในรูปแบบภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นมากเป็นอันดับที่ 1
อันดับที่ 2 คือร้านซูชิ
อันดับที่ 3 คือร้านราเมน
อันดับที่ 4 คือร้านชาบู-สุกี้
ส่วนอันดับที่ 5 คือร้านที่เป็นแบบอิซากายะ
ข้อมูลเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจอาหารญี่ปุ่นในไทยมีแนวโน้มในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และนี่ก็เป็นโอกาสของร้านอาหารญี่ปุ่นหลายๆ ร้าน รวมถึงแบรนด์ที่อยู่ในตลาดมานานกว่า 18 ปีอย่าง ‘ชาบูชิ’ ด้วยเช่นกัน

ก่อนจะพูดถึงแพลนในอนาคตของชาบูชิ Marketeer ขอ Wrap-Up เส้นทางที่ผ่านมาของแบรนด์แบบคร่าวๆ ให้คุณผู้อ่านได้ทราบกันก่อน
– ย้อนกลับไป พ.ศ. 2544 นั่นคือจุดเริ่มต้นของแบรนด์ชาบูชิที่แจ้งเกิดด้วยการเป็นแบรนด์หม้อต้มสไตล์ญี่ปุ่น กับจุดเด่นในการเสิร์ฟแบบสายพาน และให้กินแบบไม่อั้นในราคา 199 บาท
– กระทั่งปี พ.ศ. 2559 เมื่อธุรกิจหม้อต้มมีการแข่งขันกันมากขึ้น ชาบูชิจึงต้องปรับตัว จากเดิมที่เคยเสิร์ฟอาหารสดบนสายพานอย่างเดียว ก็กลายมาเป็นคอนเซ็ปต์ของ ‘Shabushi and So Much More’ ที่มีเมนูนอกสายพานอย่างเทมปุระและซูชิให้ลูกค้าได้เลือกรับประทานเพิ่มขึ้น
– จนเมื่อปีที่ผ่านมาคือ พ.ศ. 2561 ที่ได้ผุดสาขาใน central world กับสาขาที่อยู่ในรูปแบบของ Tier Pricing ซึ่งจะมีความพรีเมียมกว่าสาขาทั่วไป และจะตั้งอยู่ในแหล่งที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
– และล่าสุดเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา กับชาบูชิสาขาที่ 149 ซึ่งเป็นสาขาที่เปิดให้บริการแบบ 24 ชั่วโมง ส่วนเหตุผลของการเปิดแบบ 24 ชั่วโมงคืออะไร หาคำตอบได้จากบทความนี้

กลับมาที่ภาพ ณ ปัจจุบัน ไพศาล อ่าวสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจอาหาร บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าชาบูชิมีกลยุทธ์ในการทำธุรกิจอยู่ 3 ข้อหลักๆ ด้วยกัน นั่นคือ
1. Driving Organic Growth: คือรักษามาตรฐานสาขาเดิมเอาไว้ พร้อมกับออกโปรโมชั่นและเมนูใหม่ๆ
2. Driving Operational Excellence: คือการพัฒนาด้าน operation ต่างๆ เพราะ operation ถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจร้านอาหารที่เป็นบุฟเฟต์
3. Store Expansion: คือการขยายสาขา ซึ่งในตอนนี้ชาบูชิมีสาขาอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 82 สาขา/ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 22 สาขา/ภาคตะวันออก 18 สาขา/ภาคใต้ 12 สาขา/ภาคเหนือ 10 สาขา และภาคตะวันตกอีก 5 สาขา
โดยการขยายสาขานี้ก็จะมีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายขนาดแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าโลเคชั่นที่ได้จะเหมาะกับการนำร้านรูปแบบไหนไปวาง
นอกจากจะขยายสาขา ก็ยังขยายเวลาในการเปิดด้วยเช่นกัน จากเดิมที่เคยเปิด 10 โมงเช้า ก็จะขยับเวลาเร็วขึ้นเป็น 9 โมงเช้าแทน โดยสาขาที่เปิด 9 โมงเช้านี้จะมีทั้งหมด 56 สาขาซึ่งตั้งอยู่ในบิ๊กซีและโลตัส
และจากการขยายเวลาเปิดของ 56 สาขา ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมานี้ ก็สร้างรายได้รวมได้เพิ่มขึ้น 1 ล้านบาท
แม้จะเป็นเม็ดเงินที่ยังไม่มากเท่าไร
แต่นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง movement ของชาบูชิที่น่าสนใจ
เพราะการเพิ่มเวลาให้บริการนั้นเป็นการขยายที่ใช้ต้นทุนน้อยกว่าการเปิดสาขาใหม่หลายเท่าตัว
–
