ในปัจจุบันผู้บริโภคล้วนคำนึงถึงการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของบริษัท ไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ พวกเขาต้องการจะทราบข้อมูลของบริษัทก่อนตัดสินใจจะร่วมทำธุรกิจด้วย อาทิ สินค้าผ่านกระบวนการผลิตที่ยั่งยืนและซัปพลายเชนของบริษัทฯ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ และบริษัทเหล่านี้สามารถลดอัตราการสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ โดยปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีจะทำให้เกิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก เพราะสามารถเข้าถึงได้ง่ายและคุ้มค่ามากกว่าเมื่อใช้เครื่องมือดิจิทัลและเครือข่ายที่เหมาะสม ทำให้ธุรกิจ SMEs มีความคล่องตัวมากขึ้นและสามารถตอบสนองต่อความต้องการซัปพลายเชนที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าได้อีกด้วย ในขณะเดียวกันปัญหาหลักของกลุ่มธุรกิจ SMEs คือ จะทำอย่างไรให้สามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อผลักดันการเติบโตของบริษัทฯ บนรากฐานธุรกิจที่ยั่งยืนได้อย่างเต็มความสามารถมากที่สุด ซึ่งในความจริงแล้วสามารถทำได้บนปัจจัยหลัก 4 ประการคือ:
มีระบบซัปพลายเชนที่โปร่งใส
ประการแรก บริษัทฯ ต้องสร้างความโปร่งใสให้กับระบบซัปพลายเชน นั่นหมายถึงผู้บริโภคสามารถตรวจสอบที่มาที่ไปได้อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ซึ่งเทคโนโลยีอย่าง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things-IOT) เซนเซอร์เพื่อติดตามสถานะการขนส่ง หรือระบบอัตโนมัติขั้นสูง ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าใจระบบซัปพลายเชนแบบครบวงจรได้มากขึ้น
นอกจากสร้างความโปร่งใสให้กับระบบซัปพลายเชนแล้ว การเพิ่มประสิทธิภาพของนวัตกรรมและเทคโนโลยี ยังส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น ด้วยการใช้ทรัพยากรต่างๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ในหลายๆ ครั้งธุรกิจ SMEs มักได้เปรียบด้านระบบซัปพลายเชนมากกว่าบริษัทรายใหญ่ โดยเฉพาะธุรกิจสตาร์ทอัพ เนื่องจากสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว และยังสามารถควบคุมซัปพลายเออร์ หรือหุ้นส่วนทางธุรกิจได้ นอกจากนี้ พวกเขายังสามารถกำหนดนโยบายด้านความยั่งยืนขององค์กรได้ โดยเลือกซัปพลายเออร์ที่คำนึงถึงผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมระบบกรีนซัปพลายเชน
เพิ่มขีดจำกัดด้วยพลังดิจิทัล
ปัจจุบันเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) และฐานข้อมูลอัจฉริยะ (Intelligent database) ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างดิจิทัลแดชบอร์ด ที่แสดงให้เห็นมาตรวัดต่างๆ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและคู่มือการทำธุรกิจ ซึ่งส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินธุรกิจ เช่น การใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนมากที่สุด สำหรับเฟดเอ็กซ์ เราจัดส่งพัสดุไปยังจุดหมายปลายทางหลายๆ แห่งพร้อมกัน เพื่อลดการปล่อยมลพิษ ซึ่งกลยุทธ์ในการจัดส่งพัสดุนี้ทำให้เราสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้หลายพันเมตริกตันต่อปี
ขยายธุรกิจเพื่อสร้างโซลูชั่นที่ยั่งยืน
ผู้ประกอบการ SMEs ควรมองหาโซลูชั่นต่างๆ ในการขยายธุรกิจและลงทุนกับแนวคิดใหม่ๆ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงลดมลพิษในชุมชนต่างๆ ทั่วโลก ในหลายๆ ครั้ง ผู้ประกอบการอาจขยายธุรกิจและเครือข่ายระดับโลกโดยเลือกใช้ซัปพลายเออร์ขนาดใหญ่ หรือผู้ให้บริการโลจิสติกส์
ที่เฟดเอ็กซ์ ร้อยละ 91 ของพัสดุภัณฑ์ที่มีโลโก้ของบริษัท สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ (รีไซเคิล) และพัสดุภัณฑ์มากกว่าครึ่งหนึ่งทำมาจากวัสดุที่ผ่านการรีไซเคิล นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการตรวจสอบพัสดุภัณฑ์เสมอ เพราะการใช้พัสดุที่เหมาะสมกับขนาดและดีไซน์ของสินค้าจะช่วยลดค่าใช้จ่าย พื้นที่การจัดเก็บ รวมถึงปริมาณการขนส่งสินค้าต่อครั้ง และยังลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ลดการใช้พลังงานและปล่อยมลพิษ
โดยเฉลี่ยแล้ว ประชากร 7 ล้านคนทั่วโลกเสียชีวิตก่อนวัยอันควรทุกปี เพราะมลพิษทางอากาศ โดย 4 ล้านคนจากจำนวนนี้อาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ดังนั้น ผู้ประกอบการ SMEs ควรคิดวิธีการบริหารจัดการระบบซัปพลายเชน โดยคำนึงถึงพลังงานที่จำกัดในปัจจุบัน เช่น ปรับปรุงกระบวนการดำเนินงาน ตั้งแต่การจัดเส้นทาง การใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ และขั้นตอนการทำงานอื่นๆ รวมถึงลดการปล่อยมลพิษ หาเชื้อเพลิงทดแทน และการใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด เพื่อสร้างระบบซัปพลายเชนที่ยั่งยืนในอนาคต
การพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นผลดีต่อธุรกิจ
องค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจมูลค่ามากถึง 5-7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐจะถูกปลดล็อก หากเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนบรรลุผลภายในปี 2573 ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่ได้ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ท่ามกลางสภาวะที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การสร้างความโปร่งใสในระบบซัปพลายเชนจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและดึงลูกค้าที่สนใจในสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกลุ่มมิลเลนเนียล ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อที่มีแนวโน้มจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ในหลายๆ ครั้ง การเติบโตของธุรกิจอย่างรวดเร็วควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคมสามารถสร้างกำไรให้กับธุรกิจโดยตรงได้ ซึ่งเฟดเอ็กซ์ เคยทำรายได้ถึง 7.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากการแสดงข้อมูลการจัดการก๊าซเรือนกระจกในบัญชีการเงินปีที่ผ่านมาให้กับลูกค้า
สำหรับ SMEs ถึงแม้จะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก แต่มีการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ เพราะมีรูปแบบในการดำเนินธุรกิจที่ไม่ได้ยึดตามแบบเดิมๆ โดยโครงการพื้นฐานดิจิทัลช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถปรับตัวและเรียนรู้การทำธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กสามารถมองภาพใหญ่ของธุรกิจได้มากขึ้น และมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืน ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ยังให้ความสำคัญในเรื่องการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนน้อยกว่าในยุโรปหรืออเมริกา นั่นหมายความว่าบริษัทที่ให้ความสำคัญในด้านนี้ก่อน ย่อมได้เปรียบมากกว่าบริษัทอื่นๆ
หากบริษัทขนาดเล็กมีแนวคิดที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงเลือกใช้เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนกรีนซัปพลายเชน จะส่งผลให้บริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
บทความโดย คาเรน เรดดิงตัน บริษัท เฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
–
