เพราะเราต่างยังอายที่จะซื้อถุงยางอนามัย

แล้วถ้าเป็นถุงยางอนามัยในหีบห่อทรงกลม มาพร้อมลวดลายแปลกตาที่มองยังไงก็ไม่นึกว่าเป็น “ถุงยาง” จะกล้าซื้อมากขึ้นมั้ย??

ที่เห็นซองกลมๆ มีลวดลายดีไซน์แปลกตาไม่เหมือนใครในรูปด้านล่างนี้คือ “ถุงยางอนามัย” แบรนด์น้องใหม่ที่จะเข้ามาเขย่าตลาดถุงยางอนามัยในไทยที่ตอนนี้มีมูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท

แล้วแบรนด์น้องใหม่นี้เป็นใคร ตาม Marketeer มาหาคำตอบ

แบรนด์น้องใหม่ที่เข้ามาทำตลาดในไทยนี้มีชื่อว่า “มายวัน” (myONE) โดยเป็นส่วนหนึ่งของถุงยางอนามัยแบรนด์ “ONE” ที่มีต้นกำเนิดที่สหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2546

ในปี พ.ศ. 2557 ถูกซื้อกิจการโดย “คาเร็กซ์” บริษัทผู้ผลิตถุงยางอนามัยรายใหญ่ที่สุดของโลกสัญชาติมาเลเซีย

หนึ่งในเหตุผลของผู้ก่อตั้งแบรนด์ “วัน” ที่ เอ็มเค โกห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท คาเร็กซ์ เล่าให้ฟังว่า เพราะผู้คนยังอายที่จะซื้อถุงยางอนามัย อายที่จะเดินหยิบกล่องสี่เหลี่ยมแล้วเดินไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์

จึงต้องการเปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนมุมมองในการซื้อถุงยางอนามัยที่จะไม่ใช่เรื่องน่าอายอีกต่อไป

ทุกวันนี้เราจึงได้เห็นแบรนด์ถุงยางอนามัยที่เป็นวงกลม มีดีไซน์ทันสมัย แปลกตาไปจากแบรนด์อื่นวางขายอยู่

การเข้ามาทำตลาดในไทยครั้งนี้ เอ็มเค โกห์ ระบุว่า ต้องการขับเคลื่อนให้เกิดการแสดงออก เข้าใจเรื่องเพศมากขึ้น ต้องการให้คนรุ่นใหม่ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง

รวมทั้งมองเห็นตลาดถุงยางอนามัยในไทยยังสามารถโตได้อีก โดยปัจจุบันมูลค่าตลาดถุงยางอนามัยในไทยมีมูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท

ขณะที่ตลาดถุงยางอนามัยทั่วโลกโตขึ้น 8-9% เขายังบอกอีกว่า 50% ของผู้ที่ซื้อถุงยางอนามัยทั่วโลกเป็น “ผู้หญิง”

ข้อท้าทายในการเข้ามาทำตลาดในไทยคือ ไทยมีการแข่งขันของเจ้าตลาดที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ลองเข้าร้านสะดวกซื้อนับดูก็มีถุงยางอนามัยไม่ต่ำกว่า 3 แบรนด์วางจำหน่ายอยู่

และคงเดาได้ไม่ยากว่าถุงยางอนามัยแบรนด์ไหนครองตลาดมากที่สุดในตอนนี้

คำตอบคือ “ดูเร็กซ์” แบรนด์ถุงยางอนามัยสัญชาติอังกฤษที่ครองส่วนแบ่งมากกว่าครึ่ง

รองลงมาคือถุงยางอนามัยสัญชาติไทยอย่าง “Onetouch” ของบริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) ส่วนอันดับ 3 คือถุงยางอนามัยสัญชาติญี่ปุ่น “Okamoto”

คำถามที่ตามมาคือแล้ว “มายวัน” มีจุดแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร

เอ็มเค โกห์ ระบุว่า 1. คือรูปลักษณ์ของบรรจุภัณฑ์ที่เป็นซองทรงกลมของถุงยางอนามัย ที่แตกต่างจากเจ้าอื่น ทำให้ผู้คนกล้าที่จะเลือกหยิบเลือกซื้อถุงยางอนามัยมากขึ้น

2. เรื่องของเทคโนโลยี การดีไซน์ต่างๆ ที่แบรนด์ได้ให้ผู้บริโภคมามีส่วนร่วมในการออกแบบ เราจึงเห็นลวดลายต่างๆ ที่ดูสดใสบนถุงยางอนามัยของมายวัน

3.มายวัน อยู่ในเครือของคาเท็กซ์ กรุ๊ป ที่เป็นผู้ผลิตถุงยางอนามัยรายใหญ่ที่สุดในโลก จุดนี้ทำให้ถุงยางอนามัยมายวันมีความหลากหลาย ตรงจริตผู้บริโภคมากขึ้น

เขายกตัวอย่างในตลาดอเมริการะบุว่า บริษัทเป็นเจ้าแรกของโลกในการผลิตถุงยางอนามัยแบบเรืองแสง

ขณะที่ตลาดมาเลเซียก็มีถุงยางอนามัยกลิ่นแปลกใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์อย่างเช่น กลิ่นทุเรียน

สำหรับในประเทศไทย ก็กำลังมีการพัฒนากลิ่นที่เป็นลักษณะเฉพาะของไทยเองด้วย

สำหรับการทำตลาดในเฟสแรกนั้น มายวันส่งถุงยางอนามัยวางจำหน่ายในตลาดด้วยกัน 4 แบบ ทั้งหมด 8 SKU ในราคาที่ 49-79 บาท/แพ็ก 3 ชิ้น และราคา 129-269 บาท/แพ็ก 12 ชิ้น

เอ็มเค โกห์ ระบุว่า เป็นราคาที่สู้ในตลาดได้ สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของแบรนด์ คือคนรุ่นใหม่และวัยรุ่น ซึ่งตลาดหลักของถุงยางอนามัยในไทยไม่ต่างจากตลาดในมาเลเซีย คืออายุ 16-35 ปี

ส่วนช่องทางการจำหน่ายนั้นตอนนี้มีวางจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และกำลังอยู่ในขั้นตอนเจรจาเตรียมเข้าไปวางจำหน่ายตามร้านสะดวกซื้อ โมเดิร์นเทรดต่างๆ

 

แม้ “มายวัน” เพิ่งจะเปิดตลาดในเมืองไทย แต่ “คาเร็กซ์” เข้ามาในไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 โดยตั้งโรงงานผลิตถุงยางอนามัยที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่หาดใหญ่ โดยมีกำลังผลิตจำนวน 2,700 ล้านชิ้น

และถามว่ามาอยู่ในไทยตั้งนานทำไมถึงเพิ่งมาขายถุงยางอนามัยเอง… คำตอบคือ การเป็นผู้ผลิตกับการเป็นผู้จำหน่ายนั้นต่างกัน

และเพราะคาเร็กซ์ เพิ่งซื้อกิจการ “วัน” มาเมื่อราว 6 ปีก่อน เพราะฉะนั้นจึงต้องทั้งศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคและคู่แข่งก่อนที่จะออกรบในสนามนั่นเอง



ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ

.
Marketeer ฉบับดิจิทัล : อ่านบน Ookbee / อ่านบน meb
.
Marketeer ฉบับ PDF : https://marketeermagazine.com/
.
Marketeer ฉบับกระดาษ : สั่งซื้อทางไปรษณีย์ Inbox มาที่ เพจ Marketeer Online