ธนัท ตันอนุชิตติกุล พี่นัทกับน้องนพ จากพิธีกรสู่ผู้บริหารค่ายการ์ตูน (สัมภาษณ์พิเศษ)
หากคำว่า ‘เน็ตไอดอล’ มีเมื่อประมาณ 15-16 ปีก่อนหน้า เชื่อว่าชื่อของ ‘พี่นัทกับน้องนพ’ แห่งช่อง 9 การ์ตูน จะต้องอยู่ในทำเนียบของเน็ตไอดอลในยุคนั้นด้วยเช่นกัน
เพราะสิ่งที่เด็กยุคนั้นทำกันหลังตื่นนอนของทุกเช้าเสาร์-อาทิตย์ ก็คือการลุกขึ้นมาเปิดทีวีเพื่อรอดูรายการช่อง 9 การ์ตูนที่มีพี่นัทและน้องนพเป็นพิธีกร
และความนิยมของสองพี่น้อง ก็การันตีได้ด้วยยอดขายเทปเพลงประกอบการ์ตูนเรื่องดิจิมอนล้านตลับ! กับเพลงดังอย่างออกอาวุธและปีกรัก
จนเมื่อเติบโตขึ้น พี่นัทและน้องนพยังคงเดินทางอยู่ในสายงานการ์ตูน เพียงแต่เปลี่ยนบทบาทจากพิธีกรมาเป็นผู้บริหารค่ายการ์ตูนซึ่งเป็นธุรกิจของที่บ้าน
ใช่แล้ว, เขาทั้งคู่คือทายาทของ Cartoon Club บริษัทที่ถือลิขสิทธิ์การ์ตูนชื่อดังในไทยอย่างโคนัน, วันพีช, นารูโตะ, โปเกมอน, ชินจัง, อาราเล่ และอีกมากมาย
น้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้
และก็อีกน้อยคนเหมือนกัน ที่จะรู้ว่าเหตุผลหลักของการเข้ามาเป็นพิธีกรในวัยเด็กของ พี่นัท– ธนัท ตันอนุชิตติกุล ไม่ใช่เพราะอยากอยู่ในวงการบันเทิง ไม่ใช่เพราะอยากเป็นดารา
แต่เป็นเพราะอยากเป็นนักธุรกิจ ที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่เด็กแล้วว่าจะสานต่อธุรกิจของที่บ้าน
และเขาคิดว่าการจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ดีได้ ควรจะต้องลงไปเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองให้หมดก่อน
ไม่ใช่แค่นั่งบริหารเพียงอย่างเดียว

จุดเริ่มต้นของการเป็นไอดอลในวัยเด็ก
“ย้อนกลับไปตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จริง ๆ ผมไม่ได้อยากจะเป็นดารา เพราะแต่ไหนแต่ไรความฝันของผมคือการเป็นนักธุรกิจ เรื่องนี้มันชัดเจนในใจตั้งแต่ก่อนจะเป็นพิธีกรซะอีก
เวลาคุณพ่อไปไหนมาไหน ผมก็มักจะขอตามไปด้วย อยากรู้ว่าคนเป็นนักธุรกิจเขาทำงานยังไง
จนอายุ 17 บริษัทมีแผนจะทำรายการไฮไลท์การ์ตูน 9 ทีมงานก็เลยต้องหาพิธีกร ตอนนั้นมีน้าต๋อยเซมเบ้ แล้วเขาก็เล็งไว้ว่าอยากจะให้มีพิธีกรที่เป็นเด็กเป็นวัยรุ่น เพื่อเอาไว้สื่อสารกับกลุ่มคนดูที่เป็นเด็กด้วยกัน
นี่ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของงานพิธีกร ที่ตบปากรับคำในตอนนั้น ไม่ใช่เพราะว่าอยากดังอยากเป็นดารา แต่คิดว่าถ้าอนาคตเราอยากขึ้นมาบริหาร เหล่านี้คือสิ่งที่ต้องรู้เอาไว้
และสิ่งที่ได้จากการเป็นพิธีกร คือผมได้เรียนรู้ระบบงานในทุกตารางนิ้วจริง ๆ ได้รู้ว่าระบบไฟ ระบบเสียง การตัดต่อ เขาทำกันยังไง
หรือตอนที่เป็นศิลปินล้านตลับ ไปที่ไหนก็เจอเทปของเราวางขาย ความดีใจในตอนนั้นไม่ใช่ว่าเราโด่งดัง แต่มันคือความดีใจที่ว่าธุรกิจมันประสบความสำเร็จ ของขายได้มากกว่า
และแม้ชีวิตในตอนนั้นจะวนอยู่แค่โรงเรียน พอเรียนเสร็จก็มาที่สตูดิโอถ่ายรายการ
แต่เอาจริง ๆ นะผมกลับไม่เคยรู้สึกสูญเสียชีวิตวัยเด็กหรือวัยรุ่นไปเลย”

จุดเปลี่ยนของการออกมาทำงานบริหาร
แม้จะเข้ามาเป็นพิธีกรด้วยเหตุผลที่อยากเรียนรู้งานของบริษัท
แต่พอได้ลองทำไปเรื่อย ๆ พี่นัทก็ค้นพบตัวเองว่า การเป็นพิธีกรก็เป็นอีกสิ่งที่เขารักเหมือนกัน
เพราะเมื่อจบจากรายการช่อง 9 การ์ตูนคลับ พี่นัทยังคงเดินทางในสายพิธีกรรายการทีวี รวมถึงการเป็นดีเจของคลื่นวิทยุ
กระทั่งอายุ 28 เขาลาออกจากการเป็นพิธีกรและงานเบื้องหน้าทุกอย่าง เพื่อหันมาทำงานบริหาร อย่างที่ตั้งใจเอาไว้
“คือชอบอะไรก็ตาม แต่ผมก็ยังชอบการเป็นนักธุรกิจที่สุดอยู่ดี
ตั้งแต่เรียน High School จนถึงปริญญาก็เลือกเรียนด้านธุรกิจมาโดยตลอด
พออายุ 28 ก็คิดว่ามันถึงเวลาแล้วแหละที่เราควรจะออกมาทำ ในสิ่งที่อยากทำมากที่สุดจริง ๆ
ในรุ่นของคุณพ่อจะเน้นสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงจน Cartoon Club กลายเป็นที่รู้จัก
แต่ในรุ่นของผมจะเน้นขยาย Business Model ใช้ของเดิมที่มีอยู่มาต่อยอดเพิ่มช่องทางรายได้
อย่างการทำ Cartoon Club Academy, ทำหลักสูตรนักพากย์การ์ตูน, ทำทริปท่องเที่ยวตามรอยการ์ตูน ขยายแบรนด์ Cartoon Club ไปต่างประเทศ
หรืออย่างตอนนี้ที่การทำธุรกิจนั้นอยู่ตัวคนเดียวเหมือนอดีตไม่ได้ เราก็เลยไปจับมือกับค่ายการ์ตูนยักษ์ใหญ่ฝั่งตะวันตกอย่าง Nickelodeon และ TOONIE เพื่อขยายฐานคนดูของ Cartoon Club ให้กว้างขึ้นไปอีก”

วิธีทำธุรกิจที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็ก
ในวันที่เติบโตขึ้นทุกวัน เราตั้งคำถามกลับไปยังพี่นัท ว่าผู้ใหญ่อย่างเขามีวิธีทำธุรกิจให้เข้าใจกลุ่มลูกค้าที่เป็นเด็กหลาย ๆ ยุคสมัยได้อย่างไร
สิ่งที่เขาตอบกลับเรามาแบบทันควัน ทันทีที่คำถามจบก็คือ
“โอ้ววว ผมมีทีมงานที่เก่งมาก ๆ ทีมงานของผมเป็นคนรุ่นใหม่เต็มไปหมด
ซึ่งถ้าเป็นคนที่ทำอาร์ตเวิร์ก ทำชิ้นงานโปรโมต หรือทีมคัดเลือกคอนเทนต์ ก็อาจจะต้องอินกับการ์ตูนเรื่องนั้นด้วยเหมือนกัน
ส่วนตัวของผมเองจะเน้นดูภาพรวมมากกว่า เป็นคนวางนโยบายเพื่อให้ทีมงานทำตาม
แล้วในอีกมุมหนึ่งนะ ผมว่าการ์ตูนมันไม่ใช่เรื่องของเด็กเสมอไป ผู้ใหญ่บางคนทุกวันนี้ก็ยังดูการ์ตูนอยู่
เอาง่าย ๆ อย่างวันพีซเนี่ยก็มีฐานแฟนคลับที่เป็นผู้ใหญ่ไม่น้อยไปกว่าเด็กเลย”

ทำธุรกิจต้องกระจายความเสี่ยง
แม้ Cartoon Club จะมีแต้มต่ออย่างลิขสิทธิ์ที่เป็นการ์ตูนยอดฮิตอยู่ในมือมากมาย
แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าการทำธุรกิจของพวกเขานั้นเป็นเรื่องง่าย
เพราะ Cartoon Club ก็ต้องคอยปรับตัว เพื่อไม่ให้ถูกคลื่นดิจิทัลมาซัดและดิสรัปไป
“จริงอยู่ว่าการ์ตูนที่เราถืออยู่นั้นมีฐานแฟนหนาแน่น แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเราจะอยู่เฉย ๆ ได้ เราต้องคอยพาคอนเทนต์ไปอยู่ในที่ที่มีคนดู
และตั้งแต่ทีวีอนาล็อก เคเบิล ดิจิทัล หรือตอนนี้คือออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน เราก็ปรับตัวเองมาตลอดทั้งนั้น
หรืออย่างที่บอกไปในตอนต้น ว่าผมจะขยายธุรกิจของ Cartoon Club ให้อยู่ในรูปแบบอื่นด้วยเหมือนกัน
เพราะการทำธุรกิจ ควรคิดถึงเรื่องกระจายความเสี่ยง อย่าพึ่งรายได้จากทางเดียวมากไป”

ไอดอลในวัยเด็ก ที่ขอเก็บพื้นที่ส่วนตัวตอนโตเอาไว้
เราถามพี่นัทว่าเขาเคยเห็นคอนเทนต์แนว Nostalgia ที่มีคนเขียนว่า ‘พี่นัทโตขึ้นแล้วเปลี่ยนไปยังไง’ หรือ ‘พี่นัทช่อง 9 การ์ตูนทำอะไรอยู่ในตอนนี้’ บ้างหรือเปล่า
พี่นัทบอกกับเราว่า
“มีคนเอามาให้ผมดูอยู่บ่อย ๆ แล้วฝ่ายมาร์เก็ตติ้งก็เชียร์ให้ผมเป็นพรีเซนเตอร์ของหลาย ๆ โปรเจกต์อยู่เป็นประจำ
เพราะเขาคิดว่าความเป็นพิธีกรในวัยเด็กของผม จะช่วยเสริมแคมเปญต่าง ๆ ของ Cartoon Club ได้
แต่ผมขอเอาไว้ ขออยู่เบื้องหลังบริหารอย่างเดียวดีกว่า อยากจะเก็บพื้นที่ส่วนตัวเอาไว้ แล้วให้งานที่ออกไป ไปด้วยแผนธุรกิจ ไปด้วยกลยุทธ์การบริหาร
อย่างที่บอกในตอนต้น ผมไม่ได้เข้ามาเป็นพิธีกรเพราะอยากเป็นดารา
แค่คิดว่าถ้าจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ดีได้ ควรจะต้องลงไปเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองให้หมดก่อน
ไม่ใช่นั่งบริหารเพียงอย่างเดียว
” -ธนัท ตันอนุชิตติกุล
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
