หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า OEM ที่ย่อมาจาก Original Equipment Manufacturer ซึ่งหมายถึงธุรกิจที่เป็นโรงงานรับจ้างผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ต่าง ๆ
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพกันง่าย ๆ สมมุติเราต้องการทำครีมบำรุงผิวขาย การที่เราจะเป็นเจ้าของครีมแบรนด์หนึ่งไม่จำเป็นจะต้องมีโรงงานผลิตครีมเป็นของตัวเอง เพราะเราสามารถนำสูตรที่มีอยู่ไปให้โรงงานผลิตให้ได้
ซึ่งหากวิเคราะห์ในมุมของธุรกิจ การทำ OEM นั้นมีความเสี่ยงในแง่ที่ว่าหากโรงงานนั้น ๆ ไม่ได้มี Know-How อะไรที่พิเศษกว่าเจ้าอื่น ก็อาจทำให้ธุรกิจตกอยู่ในเกมสงครามราคาได้ง่าย
และแน่นอนว่าการตัดราคากันไปมาย่อมไม่เกิดผลดีในระยะยาวต่อธุรกิจ
เกริ่นมาซะขนาดนี้ เพราะวันนี้ Marketeer กำลังจะพูดถึงธุรกิจ OEM รายหนึ่งที่ค่อย ๆ ขยับปรับตัวจากผู้ผลิตมาทำแบรนด์เป็นของตัวเอง จนกลายเป็นถุงยางอนามัยที่มีส่วนแบ่งเป็นอันดับ 2 ในตลาดประเทศไทย
แบรนด์ที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ก็คือ ONETOUCH ของ บริษัท ไทย นิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR
จากจุดเริ่มต้นของ ครอบครัวดารารัตนโรจน์ ที่รับจ้างผลิตถุงยางอนามัยด้วยเงินเริ่มต้น 30 ล้านบาท กับกำลังการผลิตถุงยาง 60 ล้านชิ้นต่อปีที่โรงงานในจังหวัดชลบุรี
จากนั้นธุรกิจก็ได้ขยายไปสู่การประมูลที่บริษัทจะเข้าไปประมูลการผลิตถุงยางอนามัยให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเอาไปแจกจ่ายให้กับประชาชนได้ป้องกันโรคติดต่อหรือการตั้งครรภ์โดยไม่ได้วางแผน ตามนโยบายสุขภาพของแต่ละประเทศ
จนกระทั่งปี 2542 ถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทได้ทำถุงยางอนามัยเป็นของตัวเองในนาม ONETOUCH โดยในปี 2562 ONETOUCH มีส่วนแบ่งในตลาดถุงยางอนามัยไทยเป็นอันดับที่สอง ซึ่งเป็นรองแค่เพียง Durex เท่านั้น
และในปี 2561 TNR ก็ได้เข้าไปซื้อแบรนด์ PLAYBOY ในส่วนที่เป็นถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่นมาอยู่ในพอร์ต ซึ่งในปีต่อมา TNR สามารถพาถุงยาง PLAYBOY ภายใต้การบริหารงานของตัวเองไปเจาะตลาดในอเมริกาได้สำเร็จ ทั้งในห้าง Walmart และ Amazon
ย้อนดูตัวเลขในปี 2562 รายได้ของ TNR มาจาก
การทำ OEM ที่ 50.5%
การผลิต-ขายถุงยางและเจลหล่อลื่นแบรนด์ ONETOUCH และ PLAYBOY ที่ 26.7%
การทำงานประมูลที่ 22.8%
แม้รายได้จากการทำแบรนด์ ONETOUCH และ PLAYBOY จะยังเป็นรองช่องทางรายได้ที่มาจากการทำ OEM แต่นี่ก็ถือเป็นกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงที่ทำให้ TNR ไม่ต้องพึ่งพารายได้จากการผลิตให้คนอื่นเพียงอย่างเดียว ทั้งยังมีข้อได้เปรียบของการเป็นแบรนด์ที่ทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
และอีกอย่างที่สำคัญก็คือการสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้ TNR ไม่ต้องเป็นบริษัท OEM ที่เล่นในเกมราคาเสมอไป
–
