“แมงป่อง” จากยุครุ่งเรืองที่เคยขายแผ่นหนัง แผ่นเพลง ทำรายได้ถึงระดับพันล้าน
แม้จะกัดฟันสู้ ทรานส์ฟอร์มตัวเองไปธุรกิจอื่นแค่ไหน ก็ยังไม่ทำให้กลุ่มแมงป่องกลับมายิ้มได้เหมือนเดิม
ปีนี้ยิ่งเจอกับสถานการณ์โควิด-19 ยิ่งทำให้รายได้ลดลงไปอีก
9 เดือนแรกของปีนี้มีรายได้กว่า 78 ล้าน ขาดทุน 23 ล้าน
ย้อนกลับไปปี 2524 มนตรี มิตรศรัทธา และ กิตติ์ยาใจ ตรีเอกวิจิตร คู่สามีภรรยาปลุกปั้นร้านขายเทป ซีดี ชื่อ ‘แมงป่อง’ ขึ้น
มีสาขาแรกที่ ‘เดอะมอลล์ ราชประสงค์’
เติบโตตามกระแสในยุคนั้นที่คนยังนิยมฟังเทป ดูวิดีโอ เดินไปห้างไหน ๆ ก็มีสาขาร้านแมงป่องเต็มไปหมด
เปิดแฟลกชิปสโตร์สาขาแรกที่มาบุญครอง
จากที่แค่ขายแผ่นหนัง แผ่นเพลงแบบถูกลิขสิทธิ์ แมงป่องขยายเข้าสู่ธุรกิจให้เช่าวิดีโอ และวีซีดี และขยายตัวเป็นผู้ผลิตหนัง เเปิดร้านแมงป่องแบบแฟรนไชส์
รายได้เป็นกอบเป็นกำถึงระดับพันล้าน ในที่สุดก็แต่งตัวพาตัวเองเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai ในปี 2547
แม้จะเข้าไปอยู่ในตลาดหุ้นก็ดูเหมือนจะไม่ใช้เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ
มรสุมลูกใหญ่อย่าง เทปผี ซีดีเถื่อน รวมถึงเจอเทคโนโลยีเข้ามาดิสรัป มีอินเทอร์เน็ตที่แพร่หลาย ความนิยมของผู้บริโภคที่จะมาเลือกแผ่นซีดี เช่าวิดีโอ ก็น้อยลงทุกที
ต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อความอยู่รอด ด้วยการแตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจไลฟ์สไตล์
ปี 2557 เปิดร้าน “Gizman” ขายพวกอุปกรณ์แก็ดเจ็ต โฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ สินค้าไลฟ์สไตล์ต่างๆ
ปี 2558 เข้าสู่ธุรกิจเครื่องสำอางที่เห็นช่องในการเติบโตเปิด “STARDUST” ร้านมัลติแบรนด์ที่รวมเครื่องสำอาง ความงามแบรนด์ไทยและต่างชาติ
พร้อมกับเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท เอ็มพีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

แม้จะปรับตัวมากแค่ไหนแต่นักสู้อย่าง ‘แมงป่อง’ ก็เหมือนจะโดนน็อก เดินผิดที่ ผิดทาง รายได้ของเครือยังลดลงต่อเนื่อง
กลุ่มแมงป่องรายได้ลดลงต่อเนื่อง
………….รายได้ ขาดทุน
2558 : 384.44 60.47
2559 : 317.58 98.40
2560 : 264.21 69.44
2561 : 220.49 65.31
2562 : 158.42 44.78
2563 : 78.33 23.45
(9 เดือนแรก)
หน่วย: ล้านบาท
ที่มา: MPG-บริษัท เอ็มพีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
จากสิ้นปี 2562 มีสาขา “Gizman” เหลือเพียง 5 สาขา (ควบรวมแบรนด์แมงป่องมาอยู่เป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ Gizman)
มี STARDUST เหลือ 3 สาขา (จากในปี 2558 มี 10 สาขา)
สิ้นไตรมาส 3/63 เหลือสาขารวมกัน 4 สาขา
นักสู้อย่าง ‘แมงป่อง’ ต้องกัดฟันสู้น่าดู
แถมเมื่อวานผู้ก่อตั้งแมงป่องอย่าง ‘กิตติ์ยาใจ’ ขายหุ้น big lot ที่ถืออยู่ 17.11% ให้ ‘อัยดา ชินวัตน์’ 17.08%
ตัวเองถือหุ้นเหลือแค่เพียง 0.03% เท่านั้น
และยังลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัท ด้วยเหตุผลติดภารกิจอื่น
ต้องดูกันต่อไปว่าการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นครั้งนี้จะแก้วิกฤตขาดทุนอย่างต่อเนื่องได้มากน้อยแค่ไหน
หนทางที่จะทำให้ ‘แมงป่อง’ กลับมามีพิษอีกครั้งได้หรือไม่ ต้องเอาใจช่วยอย่างมาก
–
