ทำเล “สยาม” ถือเป็นแหล่งศูนย์รวมของวัยรุ่นตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กฮิป เด็กแนว หรือ เด็กเรียนต่างก็ต้องเคยมา แม้ในภาพของ “สยาม” จะเปลี่ยนไป จากโรงหนังสยามมาเป็นสยามสแควร์วัน และ เซ็นเตอร์พอยท์ ไปสู่ ดิจิตอล เกตเวย์ และกลับมาเป็น เซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์อีกครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือยังเต็มไปด้วยร้านค้า ที่ต่างนำเสนอสินค้าน่ารักๆ ตั้งแต่ของใช้ไปจนถึงของกินไว้อย่างมากมาย

เพราะฉะนั้นเหล่าร้าน “คาแรคเตอร์ คาเฟ่” จึงไม่ขอพลาดที่จะนำความน่ารัก มาเปิดเกมเพื่อบุกสร้างแลนด์มาร์ค ณ ใจกลางสยามแห่งนี้ โดยในระยะเวลา 3 ปี มีถึง 3 ร้านด้วยกัน

 

มูมิน คาเฟ่” (Moomin Café) @สยามเซ็นเตอร์

ถือเป็นร้านคาแรคเตอร์ คาเฟ่ แห่งล่าสุดที่ได้เปิดตัวขึ้นมาสำหรับ “มูมิน คาเฟ่ (Moomin Café)” โดยการส่ง “มูมิน” ซึ่งเป็นคาแรคเตอร์ของตัวโทรล์หรือภูตพิทักษ์ป่าจากประเทศฟินแลนด์เข้ามาประชัน

ก่อนหน้านี้ “เพรสเซนท์ เทล” ได้ยื่นซองร่วมประมูลแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่นกว่า 30 ราย เพื่อรับลิขสิทธ์ในการที่จะผลิต จนได้รับสิทธ์เพื่อผลิตตุ๊กตามูมิน และผองเพื่อน โดยได้วางจำหน่ายอยู่ในโซน BeTrend ชั้น 3 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ล่าสุดได้มีการต่อยอดโดยการเปิด “มูมิน คาเฟ่” (Moomin Café) ตั้งอยู่ ณ ชั้น 4 สยามเซ็นเตอร์ ใช้งบลุงทุน 20 ล้านบาท โดยถือเป็นสาขาแรกในไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายๆประเทศ ได้แก่ ฟินแลนด์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี จีน สหรัฐอเมริกา และโซนยุโรป ซึ่งแต่ละสาขาก็จะมีอิสระในการตกแต่งร้านและครีเอทเมนูอาหาร แต่ต้องผ่านการตรวจจากทางเจ้าของลิขสิทธ์ด้วย

สำหรับสาขาแรกนี้ มีพื้นที่ทั้งสิ้น 203 ตารางเมตร บรรยากาศภายในร้านตกแต่งสไตล์สแกนดิเนเวียน เพื่อเหมือนกับลูกค้าได้เข้ามาเยี่ยมบ้านของมูมิน โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรกร้านอาหารอินเตอร์เนชั่นแนล มีทั้งหมด 70 โต๊ะ มีทั้งหมด 60เมนู โดยราคาอาหารเริ่มต้นที่ 190 – 690 บาท ของหวานและเครื่องดื่มเริ่มต้นที่ 95 – 295 บาท ขณะที่ในต่างประเทศราคาอาหารและเครื่องดื่มแต่ละเมนูประมาณ 300 บาท ส่วนที่สองจะเป็นมูมินคอร์เนอร์ (Moomin Corner) สำหรับจำหน่ายสินค้าที่ระลึกลิขสิทธิ์แท้จากประเทศฟินแลนด์ และของที่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น

คาดว่าจะสามารถคืนทุนภายใน 3-5 ปี โดยสำหรับปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 50 ล้านบาท หรือประมาณเดือนละ 4-6 ล้านบาท เจาะกลุ่มเป้าหมายคือ วัยรุ่น คนทำงาน และครอบครัว โดยวางสัดส่วนเป็นลูกค้าคนไทย 60% และต่างชาติ 40% ด้านแผนขยายสาขา ได้ตั้งเป้าขยาย 3-4 สาขาภายใน 2-3 ปี โดยจะเลือกทำเลกรุงเทพโซนรอบนอก เช่น เซ็นทรัลลาดพร้าว และ แฟชั่น ไอส์แลนด์ เป็นต้น

 

บีดัก คาเฟ่ (B.Duck Cafe) @เซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์

หากย้อนกลับไปก่อนหน้าประมาณ 5 เดือน เราก็จะพบว่าเป็ดน้อยสีเหลืองสุดน่ารัก “บีดัก” ได้ถูกอิมพอร์ตเข้ามาจากประเทศฮ่องกง เพื่อเอาใจเหล่าสาวกทั้งหลาย

“บีดัก คาเฟ่ (B.Duck Cafe)” ได้เลือกสร้างแลนด์มาร์ค ณ ชั้น G เซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์ ซึ่งจะเรียกว่าเป็นสาขาแรกของโลกเลยก็ว่าได้ เมื่อ “จีเอ็ม สโตร์ แอนด์ คาเฟ่” ผู้ที่ได้รับลิขสิทธ์ได้เสนอกับทางลิขสิทธิ์ที่ฮ่องกง เพื่อทำเป็นค่าเฟ่ และก็ได้รับการอนุมัติเสียด้วย โดยทางนั้นได้เข้ามาช่วยดูเรื่องเรื่องดีไซน์ของร้าน และเมนูอาหาร สำหรับตัวร้านมีพื้นที่ทั้งหมด 31 ตารางเมตร ออกแบบโดยใช้เป็นตู้คอนเทนเนอร์ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับประวัติของ บีดัก โดยบีดักได้ถูกบรรจุรวมมากับสินค้าในตู้คอนเทนเนอร์จากฮ่องกงเพื่อที่จะส่งไปอเมริกา แต่ระหว่างทางเจอพายุ เลยทำให้ตู้คว่ำลงในมหาสมุทรและถูกเปิดออก ทำให้บีดักและครอบครัวได้มีโอกาสว่ายน้ำท่องเที่ยวไปที่ต่าง ๆ โดยตั้งเป็นป๊อปอัพสโตร์ด้านนอกศูนย์การค้า ใช้โทนสีเหลือง-ดำ เป็นหลัก

เจาะกลุ่มนักเรียกนักศึกษา ที่ไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ชายด้วย ตั้งเป้ากลุ่มลูกค้าเป็นคนไทย 80% และนักท่องเที่ยว 20% ซึ่งภายในร้านมีทั้งหมด 41 เมนู แบ่งสัดส่วนเป็น เครื่องดื่ม 50% ไอศกรีม 30% เค้ก 20% โดยมีราคาของเมนูเริ่มต้นอยู่ที่ 70 – 140 บาท คาดว่าจะมียอดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิลอยู่ที่ 300 บาท

 

ซานริโอ เฮลโล คิตตี้ เฮาส์ แบงคอก @สยามสแควร์วัน

ต้องบอกว่านี่คือร้านแรกๆ ที่ได้บุกเข้ายึดทำเลสยาม ในการแจกจ่ายความน่ารักและเอาใจสาวก สำหรับตัวการ์ตูนจาก ซานริโอ อย่าง “เฮลโล คิตตี้” แมวน้อยสีชมพู่สุดน่ารัก

“ซานริโอ เฮลโล คิตตี้ เฮาส์ แบงคอก” บริหารงานโดยบริษัท ดรีม เฮ้าส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่ ณ ชั้น 3สยามสแควร์วัน มีการดึงดูดด้วยการให้บริการในรูปแบบคอมเพล็กซ์ แบบฟลูสเกลครั้งแรกในโลก บนคอนเซ็ปต์บ้านของคิตตี้ 3 ชั้น 808 ตารางเมตร ภายใต้ธีม 3 Lคือ Love, Live และ Laugh ที่เป็นมากกว่า Kitty Café ในไต้หวัน และเกาหลีใต้ เน้นสร้างเอกลักษณ์ความเป็นเมืองแห่งศูนย์ช็อปปิ้งของสาวกคิตตี้ ด้วยการจำหน่ายสินค้ากลุ่มครัวเรือน และอุปกรณ์กีฬาที่ประดับประดาด้วยคาแรคเตอร์คิตตี้โดยเฉพาะ ใช้งบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท

โดยชั้นใต้ดินเป็น Spa Kitty ให้บริการเรื่องความงาม สร้างความผ่อนคลาย ชั้น 1 Hello Kitty Cafe ที่บริการอาหาร และเครื่องดื่มอันเป็นเอกลักษณ์ของคิตตี้ และชั้นบนสุดเป็นที่รับประทานพร้อมห้องสำหรับการจัดกิจกรรม เช่น วันเกิด หรือกิจกรรมบันเทิงต่าง ๆ ตามแต่ครีเอท และแต่ละชั้นจะตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์คิตตี้หวานๆ เหมียวๆ โดยเฉพาะ ซึ่งอาหารใน Hello Kitty Cafe เป็นสูตรเฉพาะของคิตตี้ที่ผสมผสานกับความเป็นไทยเพื่อรสชาติที่ถูกปากคนไทย ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นไปที่อาหารหวาน และมีเมนูซิกเนเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง ชีสเค้ก D.I.Y ที่ให้ลูกค้าสามารถตกแต่งเค้กสไตล์ตัวเองเพื่อรับประทานแบบเก๋ๆ ไม่เหมือนใครได้ และมีเมนูอื่น ๆ หมุนเวียนตามเทศกาล พร้อมบริการเดลิเวอรี่ ออนไลน์ และเทคอะเวย์ให้สาวกคิตตี้ได้นำไปชื่นชมนอกสถาน

มีการจำหน่ายบัตรเงินสด Sanrio Hello Kitty House Cash Card Limited Edition 3 แบบ 3 สไตล์ ราคา 2,500 บาท, 5,000 บาท และ 10,000 บาท เพื่อความสะดวกในการใช้จ่าย โดยเจาะกลุ่มเป้าหมายชาวไทยและต่างชาติบริเวณสยามสแควร์ทั้งชายและหญิง ที่มีกำลังซื้อเพื่อแลกกับประสบการณ์แปลกใหม่ โดยคาดว่าหลังจากเปิดบริการจะมีกลุ่มผู้หญิงกว่า 99% เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ของโลกคิตตี้ และเตรียมกิจกรรมต่างๆ เพื่อรองรับกลุ่มผู้ชายที่ส่วนใหญ่มากับคนรักหรือครอบครัว ได้ตั้งเป้าว่าในอีกสามปีข้างหน้าอยากมีเพิ่มอีก 3 สาขา โดยมองโอกาสในหัวเมืองใหญ่เมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงใหม่ พัทยา หัวหิน ภูเก็ต โดยคงคอนเซ็ปต์ร้านไว้คล้ายคลึงกับที่สยามสแควร์ และต่อยอดธุรกิจ ไปยังโรงแรม หรือร้านอาหารไทยแบบฟิวชั่นสไตล์คิตตี้

 

 



ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ

.
Marketeer ฉบับดิจิทัล : อ่านบน Ookbee / อ่านบน meb
.
Marketeer ฉบับ PDF : https://marketeermagazine.com/
.
Marketeer ฉบับกระดาษ : สั่งซื้อทางไปรษณีย์ Inbox มาที่ เพจ Marketeer Online