เคยสงสัยไหมว่า ตอนเปิดตัว Disney+ ครั้งแรก เราเห็น Disney ตั้งชื่อบริการนี้ว่า Disney+ โดยไม่มีนามสกุลพ่วงต่อ และในอเมริกา แคนาดา และประเทศอื่น ๆ อีกมากมาย
แต่ทำไมเมื่อมาในเอเชีย Disney+ ถึงต้องมีนามสกุล Hotstar ด้วย
เราขอเล่าย้อนกลับไปในเดือนมีนาคมปี 2562
Disney ปิดดีล ซื้อบริษัท 21st Century Fox ในมูลค่า 71,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.28 ล้านล้านบาท
การปิดดีลซื้อ 21st Century Fox ทำให้ Disney เข้ามาถือสิทธิ์เป็นเจ้าของในบริษัทลูกทั้งหมดของ 21st Century Fox โดยปริยาย
และหนึ่งในนั้นคือ Star India บริษัทผู้ผลิตสื่อทีวียักษ์ใหญ่ในอินเดีย Star India มีบริการสตรีมมิ่งบอกรับสมาชิกที่ชื่อ Hotstar
Hotstar เปิดให้บริการในปี 2558 ที่มีจุดเด่นคือ การถ่ายทอดสดกีฬา หนังฟอร์มยักษ์ และซีรีส์ต่าง ๆ ในราคาสมาชิกต่อเดือนที่ไม่สูงมากนัก
เมื่อ Disney เข้ามาเป็นเจ้าของ Hotstar ได้เปลี่ยนชื่อจาก Hotstar เป็น Disney+ Hotstar พร้อมกับนำคอนเทนต์ในค่าย Disney เข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง แต่ยังคงเก็บค่าสมาชิกถูกเหมือนเดิม
การเข้าทำตลาดอินเดียในชื่อ Disney+ Hotstar ที่นำเสนอคอนเทนต์ที่เป็น Local ของ Hotstar เดิม และเติมด้วยคอนเทนต์จากค่าย Disney เข้าไป และคิดราคาค่าบริการต่อเดือนต่ำกว่า Disney+ ปกติ
เป็นบิสซิเนสโมเดลที่ Disney+ เห็นโอกาสในประเทศที่มีรายได้ต่อประชากรไม่สูงมากนัก
เพราะ Disney+ Hotstar สามารถสร้างฐานลูกค้าสมาชิกในอินเดียได้อย่างน่าสนใจ
Disney จึงนำบิสซิเนสโมเดลของ Disney+ Hotstar เข้ามาบุกตลาดในประเทศที่มีรายได้ต่อประชากรไม่สูงมากนักอื่น ๆ ในเอเชีย โดยขยายไปที่อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และยังมีแผนไปเปิดที่ฟิลิปปินส์ในอนาคต
ความแตกต่างระหว่าง Disney+ และ Disney+ Hotstar นอกจากราคาสมาชิกของ Disney+ ที่แพงกว่า โดยแพ็กเกจ Disney+ เริ่มต้นที่ 7.99 USD ต่อเดือน หรือประมาณ 250 บาทต่อเดือน (อ้างอิงจากราคาอเมริกา)
ส่วนราคาไทยถ้าเป็นลูกค้าเอไอเอส รายปีละ 49 บาท (อ้างอิงจากราคาแพ็กเกจปัจจุบัน) หรือถ้าไม่ใช่ลูกค้าเอไอเอสสามารถสมัครแพ็กเกจรายปี ปีละ 799 บาท
ยังมีความแตกต่างในเรื่องอื่น ๆ เช่น
1. Disney+ และ Disney+ Hotstar ใช้แอปพลิเคชันคนละแอปพลิเคชัน ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้
2. Disney+ สามารถสร้างProfile ตัวเองได้ 7 Profile และดูพร้อมกันได้สูงสุด 4 อุปกรณ์
ส่วน Disney+ Hotstar ดูได้พร้อมกันสูงสุด 2 อุปกรณ์ และไม่สามารถสร้าง Profile ได้
3. Disney+ สามารถดู Hulu, ESPN ได้ แต่ต้องซื้อแพ็กเกจเพิ่ม
ส่วน Disney+ Hotstar มีคอนเทนต์ Local เฉพาะในแต่ละประเทศให้บริการ แต่ไม่สามารถดูคอนเทนต์ของ Hulu, ESPN ได้
4. Disney+ สามารถจ่ายเงินเพิ่มเพื่อดูหนังของ Disney ที่กำลังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ได้
ส่วน Disney+ Hotstar ไม่สามารถทำได้
แต่การมาของ Disney+ Hotstar แม้จะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทำให้ Disney+ สามารถขยายฐานสมาชิกได้อย่างรวดเร็ว
จากฐานสมาชิก 33.5 ล้านรายในเดือนมีนาคม 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 103.6 ล้านรายในเดือนเมษายน 2564
แต่การที่ Disney นำ Disney+ Hotstar เปิดตลาดในแพ็กเกจราคาค่าบริการที่ต่ำ ทำให้รายได้เฉลี่ยของ Disney+ และ Disney+ Hotstar ต่อเดือนรวมกันลดลง จากรายละ 5.63 USD หรือประมาณ 180 บาท ในเดือนมีนาคม 2563 ลดลงเหลือรายละ 3.99 USD หรือประมาณ 130 บาท ในเดือนเมษายน 2564
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



