ความสวยกินไม่ได้ แต่ทำให้เรามีความสุข บนความมั่นใจในความสวยได้ เพราะโลกโซเชียลที่เปลี่ยนพฤติกรรมให้สาวไทยโดยเฉพาะสาวกรุงต้องสวยเช้าจรดเย็นไม่เว้นแม้ตอนนอนถ้าต้องมีการถ่ายรูปออกสื่อ

เมื่อสาวไทยเสพติดความสวย จึงไม่แปลกเลย ที่ผลวิจัยจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จะพบว่าคนกรุง 70.5% ยังคงเลือกที่จะซื้อเครื่องสำอางอยู่ แต่จะซื้อเครื่องสำอางที่มีราคาถูกลง หรือเปลี่ยนแบรนด์ที่มีตำแหน่งทางการตลาดต่ำลงมาจากที่เคยใช้อยู่ หรือแม้แต่ประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ เช่นดูหนัง ฟังเพลงน้อยลงเพื่อมาซื้อเครื่องสำอางแทน

เครื่องสำอางยอดนิยม

แต่งหน้า 32%

น้ำหอม 25%

ทำความสะอาดผิว 12%

บำรุงผิวหรือสกินแคร์ 11%

ดูแลช่องปาก 10%

ดูแลเส้นผม 10%

 

35-39ปี /30,000-40,000 บาท คือนักทุ่มเพื่อความสวย

พฤติกรรมการซื้อเครื่องสำอาง ไม่ใช่ว่าสาวกรุงทุกคนจะไม่ยอมจ่ายเพื่อความสวย เพราะจากการวิจัยพบว่า

กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาทจะลดงบประมาณในการเลือกซื้อสินค้ากลุ่มเครื่องสำอางลง

กลุ่มผู้มีรายได้มากกว่า 20,000 บาท  มีแนวโน้มใช้จ่ายเลือกซื้อเครื่องสำอางใกล้เคียงกับปีก่อน และจะใช้งบประมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้น

โดยกลุ่มที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,000-40,000 บาท และกลุ่มวัยทำงานที่มีอายุระหว่าง 35-39 ปีเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มใช้จ่ายเลือกซื้อเครื่องสำอางมากที่สุด จากความต้องการดูแลภาพลักษณ์ของตนเองเพื่อสร้างบุคลิกภาพที่ดีอยู่เสมอ

แตกต่างจากกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ยังคงให้ความสำคัญกับค่าครองชีพมาเป็นอันดับแรก และค่อนข้างจะระมัดระวังการใช้จ่าย โดยจะเลือกซื้อสินค้าในกลุ่มเครื่องสำอางที่มีความจำเป็นหรือประโยชน์ใช้สอยในชีวิตประจำวันมาก่อน เช่นPersonal Care อย่าง สบู่ แชมพู ยาสีฟัน

 

 

แม้ Beauty Specialty Stores จะมีการเติบโตจากการนำเสนอเครื่องสำอางที่มีความแปลกใหม่ หลากหลาย อยู่ในกระแสนิยมทั้งสินค้าโกบอลและโลคอลแบรนด์ มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสำคัญก็คือกลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงาน แต่ Beauty Specialty Stores ยังเป็นได้แต่เพียงร้านยอดนิยมอันดับสองของคนกรุงเท่านั้น จากความนิยมซื้อผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแต่งหน้างเป็นหลัก

เพราะคนกรุงส่วนใหญ่ยังคงนิยมซื้อเครื่องสำอางจากดิสเคาน์สโตร์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ Personal Care อย่าง สบู่ แชมพู ยาสีฟัน ซึ่งใหญ่จะเป็นเครื่องสำอาง Global Brand รายใหญ่ที่มีฐานการผลิตในไทย มีตราสินค้าเป็นที่รู้จักในระดับสากล

แต่เชื่อว่าไม่นานถ้า Beauty Specialty Stores สามารถขยายสาขาครอบคลุมหัวเมืองต่างจังหวัด ในอนาคตอาจจะกลายเป็นช่องทางอันดับหนึ่งแซงดิสเคาน์สโตร์ได้ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าปีนี่จะมีสาขาเป็น 1,000 สาขาทั่วประเทศ

 

Innovation = อยู่รอด

การพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ เป็นสิ่งที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเชื่อว่าจะสร้างความอยู่รอดของผู้ประกอบการได้ในระยะต่อไป แม้ว่าในปีนี้ธุรกิจเครื่องสำอาง อาจจะต้องเผชิญกับความท้าทายด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคและการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาด แต่การมองหาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ น่าจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มยอดขายเหนือคู่แข่งได้ เช่น

ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่ผู้บริโภคยังต้องระมัดระวังการใช้จ่าย แต่เครื่องสำอางก็ยังเป็นสินค้าที่จำเป็นในสายตาของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ดังนั้น การแข่งขันแย่งชิงกำลังซื้อ จึงอยู่ที่การให้คุณค่าแก่ผู้บริโภคมากที่สุด ทั้งในแง่ของคุณภาพสินค้าที่ตอบโจทย์ด้านความงามหรือการดูแลตัวเอง ใช้แล้วเห็นผลจริงตามโฆษณา ภายใต้ระดับราคาเหมาะสม หรือทำให้ลูกค้าเห็นว่าหากเลือกสินค้าแล้วจะรู้สึกถึงความคุ้มค่าคุ้มราคา อาทิ การนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่สามารถรวมคุณสมบัติหลายอย่างไว้ในชิ้นเดียว หรือการพัฒนาสูตรเครื่องสำอางให้มีคุณสมบัติทัดเทียมหรือใกล้เคียงกับเครื่องสำอางที่ได้รับความนิยมแต่มีราคาสูง แต่สามารถจับจ่ายได้ในราคาที่ต่ำกว่า สะท้อนจากผลการสำรวจที่ระบุว่า หากใช้กลยุทธ์ด้านราคา จะทำให้คนกรุง หันมาตัดสินใจซื้อสินค้ามากที่สุด 63% รองลงมาคือ ใช้ใบเสร็จแลกรับของรางวัล 39% และการรีวิวสินค้าจากผู้เชี่ยวชาญหรือผลลัพธ์จากผู้ใช้จริง 27%

ขยายช่องทางในการสื่อสารไปยังผู้บริโภคเป้าหมายให้ได้มากที่สุด แม้ว่าสื่อดั้งเดิมอย่าง โทรทัศน์จะเป็นช่องทางที่คนกรุงฯ ส่วนใหญ่รับข้อมูลข่าวสารและความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเครื่องสำอางมากที่สุด 73%  แต่ในยุคที่การดำเนินชีวิตของผู้คนถูกเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตมากขึ้น และสื่อออนไลน์มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม การตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค การทำตลาดหรือการสื่อสารไปถึงผู้บริโภคผ่านช่องทางนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ควรมองข้าม เพราะผู้บริโภคจะหันมารับสื่อและจับจ่ายผ่านช่องทางนี้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงาน เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้เข้าถึงช่องทางการสื่อสารเหล่านี้อยู่เป็นประจำ มีอำนาจในการซื้อและการตัดสินใจซื้อค่อนข้างรวดเร็ว จะเห็นได้จากผลการสำรวจที่พบว่า สื่อออนไลน์/โซเชียลมีเดีย50% และผู้เคยใช้ไม่ว่าจะเป็นคนใกล้ตัวหรือกลุ่ม Influencer มีชื่อเสียงในโลกออนไลน์ อาทิ บล็อคเกอร์ 41%  เป็นสื่อหรือช่องทางที่มีบทบาทมากขึ้นในสายตาของผู้บริโภค ดังนั้น ผู้ประกอบการควรทำการตลาดผ่านช่องทางนี้ให้มากขึ้น

สร้างความประทับใจหรือประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภค ผลจากสำรวจพบว่า คนกรุง 63% สนใจสินค้าที่ผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติหรือออร์แกนิคมากที่สุด เนื่องจากส่วนใหญ่คำนึงถึงความปลอดภัยและปราศจากสารเคมีที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายมาเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบของ DIY หรือ Special and Unique 46% ที่ผู้บริโภคสามารถมีส่วนร่วมออกแบบเครื่องสำอางในแบบเฉพาะได้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำตลาดได้ดีสำหรับกลุ่ม Mass Market โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กลุ่มแต่งหน้ารวมถึงการสรรหานวัตกรรมหรือวัตถุดิบที่มีความแปลกใหม่/ หายากหรือไม่เคยมีมาก่อนในตลาดเข้ามาเป็นส่วนประกอบ 40%  เพื่อสร้างคุณค่าหรือมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ ซึ่งกลยุทธ์นี้เหมาะสมกับผู้บริโภคในตลาดNiche Market โดยเฉพาะในหมวดผลิตภัณฑ์กลุ่มบำรุงผิวและทำความสะอาดผิว

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer